อิตาลีให้ความสำคัญกับม้าซึ่งเป็นทรัพยากรสําคัญสําหรับการท่องเที่ยวและการเกษตรเพื่อสังคม โดยสมาพันธ์เกษตรกรอิตาลี (Coldirett) รายงานว่าม้ากลายเป็นทรัพยากรสําคัญสําหรับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบยั่งยืนและการเกษตรเพื่อสังคม เช่น การเลี้ยงม้ารวมกับสัตว์อื่นในสังคมชนบทแบบดั้งเดิม การขี่ม้าชมเส้นทาง เดินป่าทางธรรมชาติ กิจกรรมสําหรับเด็กในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ตลอดจนใช้ม้าในการกิจกรรมบําบัด (pet therapy) ด้านร่างกายและจิตใจสําหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อลดความเครียด เพิ่มความผ่อนคลาย โดยใช้ม้าเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยง อารมณ์และกระตุ้นการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ส่งเสริมการออกกําลังกายและการเคลื่อนไหว
โดยอิตาลีเน้นการใช้ม้าในกิจกรรมนันทนาการ กีฬา การผสมพันธุ์ และการพักผ่อนเป็นหลัก อีกทั้ง อิตาลียังติดอันดับหนึ่งในผู้ผลิตม้าชั้นนําในยุโรปที่มีชื่อเสียงในด้านการส่งออกม้าคุณภาพสูง โดยเฉพาะม้าพันธุ์ Italian Warmblood และ Maremmano ในด้านการส่งออกมาจึงส่งออกเพื่อกิจกรรมการขี่ม้าเป็นหลัก ขณะที่การรับประทานเนื้อม้าในอิตาลี ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในอิตาลี แต่มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นเมนูอาหารแบบดั้งเดิมประจําท้องถิ่น พบได้ในแคว้น Veneto, Emilia-Romagna, Puglia และ Sicily ทั้งนี้ แม้อิตาลีจะเป็นหนึ่งในประเทศที่รับประทานเนื้อม้า แต่ส่วน ใหญ่เป็นเนื้อม้าที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ (โปแลนด์ รัสเซีย และอื่นๆ)
อิตาลีมีฟาร์มเลี้ยงม้าถึง 27,000 แห่งกระจายทั่วทุกแคว้น (ส่วนใหญ่อยู่ในแคว้น Toscay Sicily และ Lombardy) โดยมีม้าจำนวน 600,000 ตัว อีกทั้งยังมีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากที่สุดในยุโรปจํานวน 32 สายพันธุ์ มีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 35,000 คน และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจหมุนเวียนประมาณ 3 พันล้านยูโร ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มีนัยสําคัญโดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวและสังคม ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะนําไปสู่การสนับสนุนเศรษฐกิจในชนบท ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและความผูกพันกับธรรมชาติ ช่วยดํารงวัฒนธรรมดั้งเดิมทางการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ของอิตาลี ถือเป็นรูปแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของ คุณค่าทางวัฒนธรรม คุณภาพชีวิตและการเคารพต่อธรรมชาติอีกด้วย
ทั้งนี้ ในด้านสถิติการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยในอิตาลี พบว่า อิตาลีมีการนําเข้าจากไทยช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2567 คิดเป็นมูลค่า 11,905.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2566 (มูลค่า 8,579.90 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็น (1) กลุ่มสินค้าเกษตรกรรม มูลค่า 5,989.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.56% โดยสินค้าเกษตรที่ส่งออก มากที่สุด ได้แก่ ยางพารา ข้าว และปลาหมึกมีชีวิต สด/แช่แข็ง และ (2) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร มูลค่า 5,915.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.96% โดยสินค้า อุตสาหกรรมการเกษตรที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋อง/แปรรูป ผลไม้กระป๋อง/แปรรูป |
ข้อมูล: สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรม / สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม
เรียบเรียง : ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์