ธนาคารกลางจีน (PBOC) เดินหน้าพัฒนาเงินหยวนดิจิทัล (E-CNY) เพื่อประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ในอนาคต เช่น การใช้เทคโนโลยีในช่วงโอลิมปิกฤดูหนาว เมืองอัจฉริยะ เกษตรอัจฉริยะ รัฐบาลดิจิทัล และการศึกษาดิจิทัล ขณะที่ยังคงคำนึงถึงการตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น บัตร E-CNY สำหรับคนชราที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ และคนต่างชาติที่พักอาศัยในประเทศจีนในระยะสั้น ซึ่งได้พัฒนาการรวมชิปการ์ดการแสดงยอดเงินคงเหลือ และ Health Kit เข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้งานสามารถชำระเงินโดยแตะบัตรที่เครื่องรับเงินหยวนดิจิทัลของร้านค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์และภาคเอกชนอื่น ๆ เช่น Tencent, Ant Group, JD Technology, Huawei รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ต่างกำลังเร่งวิจัยและพัฒนาการสร้างระบบนิเวศของเงินหยวนดิจิทัล ทั้งในการชำระเงิน การป้องกันและการควบคุมความเสี่ยงอีกด้วย
.
โดยจีนได้มีการเปิดตัวสกุลเงินหยวนดิจิทัลตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา และเริ่มมีการนำเงินดิจิทัลออกมาใช้กับประชาชนจีนในเมืองเล็ก ๆ คล้ายรูปแบบการแจกเหรียญ หรือล็อตเตอรี่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจกับชาวจีนควรติดตามข้อมูลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากจะส่งผลทำให้ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจอาจต้องมีการปรับระบบเพื่อรองรับการชำระเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลต่อไป ในขณะที่ประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้นได้มีการพิจารณาการพัฒนาเงินบาทดิจิทัลเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีการนำเงินบาทดิจิทัลมาใช้ในปี 2565 เพื่อลดการพึ่งพาการชำระเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และทำให้ข้อมูลทางการเงินสามารถตรวจสอบได้มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปริมาณการฟอกเงินได้
.
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
.
ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.infoquest.co.th/2021/81693