เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์ความงามหรือเครื่องสำอาง หลายคนคงนึกถึงแบรนด์ยุโรป แบรนด์ญี่ปุ่น หรือแบรนด์เกาหลี แต่แท้จริงแล้วแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามของไทยก็เรียกได้ว่าไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีน เพราะเมื่อพูดถึงของฝากที่กำลังมาแรงและกลายเป็นอีกหนึ่งของฝากที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมซื้อกันมากอย่างล้นหลามก็คงไม่พ้น “สินค้าเพื่อความงาม” ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ ไปถึงผลิตภัณฑ์สปา โดยจากการค้นหาคอลัมน์และเว็บบอร์ดท่องเที่ยวไทย พบว่าแบรนด์สินค้าเพื่อความงามของไทยที่คนจีนแนะนำว่าควรซื้อติดมือเป็นของฝาก ได้แก่ มิสทีน (Mistine) สเนลไวท์ (Snail White) บิวตี้ บุฟเฟต์ (Beauty Buffet) คิวท์เพรส (Cute Press) แอนเจอรี่ (ANJERI) และเรย์ (RAY) และจากความนิยมดังกล่าว ทําให้ทั้งแบรนด์สินค้าเพื่อความงามของไทยทยอยบุกตลาดจีนกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคจีนไม่น้อย
[su_spacer]
หากมองเข้าไปในตลาดเครื่องสำอางในจีน ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว สาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องสำอางในจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และด้วยข้อมูลจาก Euromonitor ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านข้อมูลทางการตลาด ยังชี้ให้เห็นว่า ในปี 2560 ยอดขายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในจีนมีมูลค่าถึง 186,700 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10.3% และยอดขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแต่งหน้ามีมูลค่า 34,400 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 21.3% โดยชาวจีนนิยมซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ของต่างประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกันข้อมูลจากกรมสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า มูลค่าขายปลีกผลิตภัณฑ์ความงามในปี 2561 มีมูลค่าถึง 261,900 ล้านหยวน โดยตลาดความงามในจีนนั้นได้มีการเจริญเติบโตขึ้นทุกปี สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในจีนมีขนาดใหญ่มาก พร้อมขยายตัวขึ้นต่อเนื่องตามสภาวะเศรษฐกิจทำให้เป็นโอกาสของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากต่างประเทศที่จะเจาะเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น รวมถึงสินค้าจากผู้ประกอบการไทยด้วย
[su_spacer]
อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าประเภทเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสู่จีนจำเป็นต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบที่ได้มาตรฐานตามที่หน่วยงานจีนกำหนด โดยจะต้องได้รับใบอนุญาต CFDA (China Food and Drug Administration) ก่อน ซึ่งใช้เวลาตามกระบวนการอย่างน้อย 6 เดือน จนถึง 3 ปี และผู้ประกอบการจะดำเนินการด้วยตนเองหรือใช้บริการผ่านบริษัทนำเข้า-ส่งออกก็ได้ โดยต้องจัดเตรียมเอกสาร ได้แก่ (1) ใบแสดงการตรวจสอบคุณภาพสินค้า (Certificate of Inspection and Quarantine of Inbound Goods) (2) ใบอนุญาตนำสินค้าเข้า (Import License) ซึ่งในปัจจุบัน สามารถยื่นคำร้องออนไลน์กับ CFDA โดยตรงได้ที่ www.sfda.gov.cn/WS01/CL0504/32374.html (สำหรับเครื่องสำอางควบคุมพิเศษ) และที่ www.sfda.gov.cn/WS01/CL0504/32373.html (สำหรับเครื่องสำอางทั่วไป) และจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 20 วัน พร้อมทั้งนำส่งตัวอย่างสินค้าเพื่อดำเนินการ Sample Test (3) ใบอนุญาตอื่นๆ ประกอบการยื่นขอนำเข้าสินค้า อาทิ ใบรับรองแหล่งผลิต (Certificate of Producing Place) ใบรับรองสุขอนามัย (Certificate of Hygiene) ใบขนส่งสินค้า สัญญาระหว่างบริษัทนำเข้า-ส่งออก และใบรับรองการจดทะเบียนนำเข้ายา (Import Drug Registration Certificate) ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีส่วนผสมของยา (4) ชื่อคำแปลผลิตภัณฑ์ที่จะนำเข้า พร้อมทั้งรายละเอียดของส่วนผสม น้ำหนัก (หน่วยสากล) วันผลิต วันหมดอายุ วิธีการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ และชื่อและที่อยู่บริษัทที่นำเข้าหรือจัดจำหน่ายสินค้าดังกล่าวในประเทศจีนโดยข้อมูลทั้งหมดต้องเป็นภาษาจีน
[su_spacer]
นอกจากนี้ ช่องทางออนไลน์ถือเป็นช่องทางที่สำคัญในการตีตลาดจีน เพราะปัจจุบันนี้ผู้บริโภคชาวจีนนิยมซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากสะดวกและประหยัดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ทิศทางการซื้อขายออนไลน์ในจีนยังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2551 จีนมี มูลค่าการซื้อขายทางธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์รวม 3.14 ล้านล้านหยวน และทยอยขยายตัวขึ้นในแต่ละปีจนถึงปี 2561 มีมูลค่ารวมสูงถึง 31.63 ล้านล้านหยวน ซึ่งขยายตัวถึง 10 เท่าในช่วงระยะเวลา 10 ปี ทำให้จีนได้ครองแชมป์การเป็นตลาดซื้อขายปลีกผ่านระบบออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก
[su_spacer]
จากตัวเลขสถิติที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงพฤติกรรมการบริโภคในจีนที่ได้ก้าวสู่ “ยุคออนไลน์” อย่างเต็มตัว ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้เครือข่ายออนไลน์เป็นช่องทางสำคัญเพื่อขยายธุรกิจในจีน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ไม่ยาก และใช้งบประมาณไม่สูง จึงทำให้ทั้งมิสทีนและสเนลไวท์เล็งเห็นเครือข่ายออนไลน์เป็นช่องทางแรกสำหรับทำตลาดในจีน โดยพบว่าทั้งสองแบรนด์ไทยได้ ขยายธุรกิจสู่ตลาดจีนโดยเริ่มต้นจากช่องทางออนไลน์ก่อนที่จะตั้งหน้าร้านจริงขึ้น ซึ่งช่องทางออนไลน์ที่สำคัญ อาทิ (1) Tmall JD.com (2) VIP.com (3) Jumei.com พร้อมกับการทําการตลาดผ่าน Social Network ต่าง ๆ ได้แก่ (1) Kuaishou (2) Huoshan (3) Douyin (Tik Tok) และ (4) Little Red Book
[su_spacer]
ระยะเวลา 2-3 ปีที่มิสทีนเข้าทำตลาดในจีนอย่างจริงจัง ทำให้ยอดขายในปี 2562 สูงถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่ง 90% ของยอดขายมาจากการขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมิสทีนสามารถทำยอดขายติดอันดับ แบรนด์เครื่องสำอางที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 7 บน TMALL เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ สินค้าเครื่องแต่งหน้าของมิสทีนก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 แซงหน้าแบรนด์อินเตอร์หลายแบรนด์ในบางแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ ของจีนอีกด้วย จนในที่สุดมิสทีนได้เปิดร้านสาขาแรกของจีนที่ Super Brand Mall ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าสัญชาติไทยในเซี่ยงไฮ้ไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561
[su_spacer]
ทั้งนี้ การใช้ Key Opinion Leader (KOL) หรือ การใช้บุคคลที่มีอิทธิพลในแต่ละสาขาบน social media เพื่อสื่อสารข้อมูล และเพิ่มยอดขายสินค้า ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจในการเจาะไปยังกลุ่มเป้าหมาย บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เน็ตไอดอล ชื่อ หลี่ เจียฉี (Li Jiaqi) หรือที่รู้จักกันดีในนาม Lipstick Brother ซึ่งเป็นผู้ขายอันดับ 1 ของลิปสติกออนไลน์ ได้ทำการรีวิวลิปสติกแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น Douyin หรือ Tik Tok ทุบสถิติขายลิปสติกได้ 15,000 แท่งภายใน 5 นาที โดยแบรนด์ที่มียอดขายถล่มทลายในจีนเพราะเน็ตไอดอลผู้นี้ ได้แก่ (1) MAC (2) YSL (3) Charlotte Tilbury (3) Chanel และ (4) ELLISFAAS
[su_spacer]
ปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลายนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศจีนไม่เพียงแต่เป็นโรงงานผลิตสินค้าสำคัญของโลกด้วยตลาดบริโภคที่มีขนาดใหญ่กว่า 1,300 ล้านคน เท่านั้น แต่คนจีนยังเป็นผู้บริโภครายใหญ่ที่มีกำลังซื้อมหาศาลอีกด้วย ตลาดจีนจึงเป็นที่หมายปองของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศในทุก ๆ วงการธุรกิจ รวมทั้งตลาดความงามด้วยเช่นกัน อีกทั้ง ผู้บริโภคชาวจีนยังนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทกลุ่มไวเทนนิ่ง เพื่อช่วยให้ผิวขาวไม่แตกต่างจากคนไทยมากนัก ประกอบกับความชื่นชอบสินค้าที่มาจากประเทศไทย เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเมืองไทยปีละกว่า 8 ล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆปี เนื่องจากสินค้าไทยนั้นมีราคาที่ไม่สูงและคุณภาพดี จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบธุรกิจสุขภาพและความงามไทยที่จะขยายตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดจีน ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าสู่ตลาดจีน ควรศึกษาใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อเจาะตลาด ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) และสร้างความต้องการสินค้าไทยได้เพิ่มขึ้น
[su_spacer]
สำหรับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามของไทยที่สนใจขยายธุรกิจสู่ตลาดจีนนั้น อาจเริ่มต้นจากเข้าร่วมงานแฟร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาคู่ร่วมมือหรือตัวแทนกระจายสินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ (1) China International Beauty Expo www.chinainternationalbeauty.com ซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี ปีละ 3 ครั้ง ได้แก่ นครกว่างโจว 2 ครั้ง (เดือนมีนาคมและกันยายน) และนครเซี่ยงไฮ้ 1 ครั้ง (เดือนพฤษภาคม) (2) China Beauty Expo (CBE) www.chinabeautyexpo.com ซึ่งจัดขึ้นที่นครเซี่ยงไฮ้ในช่วงเดือน พฤษภาคมของทุกปี (3) Chengdu China Beauty Expo (CBE) www.cbebaiwen.com ซึ่งจัดขึ้นในเดือนเมษายนและเดือนตุลาคมของทุกปีที่นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน
[su_spacer]
ที่มาเพิ่มเติม:
https://thaibizchina.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0/
https://www.komchadluek.net/news/economic/367280
http://m.th.wzcepc-elec.com/news/distributor-23878974.html
https://www.at-z.co.th/content/16678/thaibrandstochina
[su_spacer]
โดยศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้