จากบทความตอนที่แล้วได้กล่าวถึงงานเทศกาลไทย ณ กรุงฮานอย ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 25 สิงหาคม 2562 ภายในศูนย์การค้า AEON Mall ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ของกรุงฮานอย ซึ่งการจัดแสดงสินค้าไทยตลอดสามวันเป็นที่นิยมของชาวเวียดนามที่เข้ามาจับจ่ายสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้า OTOP จากผู้ประกอบการกว่า 20 บูท
[su_spacer]
ความพิเศษสำหรับสินค้า OTOP ที่จัดแสดงในงานนี้คือ มีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทยมาจัดแสดง เพื่อเผยแพร่ศักยภาพด้านนวัตกรรมของไทยตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” และผู้ประกอบการ OTOP ที่ใช้นวัตกรรมได้อย่างน่าสนใจ คือ ผู้ประกอบการ OTOP จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในนามบริษัท บลู ดอลฟิน ฟูด แอนด์ เบเวอเรจ จำกัด
[su_spacer]
นวัตกรรมของบริษัทฯ ที่มาจัดแสดงในงานครั้งนี้ คือ เครื่อง High Pressure Extract หรือเครื่องชงชา/กาแฟโดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจะแตกต่างกับเครื่องชงชา/กาแฟ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาดที่ใช้แรงดันน้ำผ่านกาแฟบด เครื่องชงกาแฟสกัดด้วยนวัตกรรมไทยเครื่องนี้ จึงสามารถชงได้ตั้งแต่กาแฟสด ชาไทย ชาเขียว กาแฟไทยโบราณ รวมถึงกาแฟเวียดนาม โดยภายในงานผู้ประกอบการได้ใช้เครื่องชงกาแฟดังกล่าวทำเครื่องดื่มชาและกาแฟจำหน่ายแก่ผู้บริโภคชาวเวียดนามด้วย
[su_spacer]
นายบุญศิริ ธรรมเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ กล่าวถึงนวัตกรรมนี้ว่า เหมาะสำหรับคนที่ชอบทานกาแฟที่มีรสสัมผัสครบถ้วน เพราะอัตลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องนี้ คือ การสกัดกาแฟโดยแรงดันที่ไม่สูงมาก กาแฟจะไม่ถูกเค้นด้วยแรงดันสูงที่ทำให้เสียรสชาติ ความพิเศษอีกเรื่อง คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไปยับยั้งกระบวนการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันระหว่างชา/กาแฟกับอากาศ จะทำให้รสชาติของชา/กาแฟไม่เปลี่ยนแม้จะเย็นแล้ว
[su_spacer]
สำหรับแรงบันดาลใจในการคิดค้นเครื่องชงชา/กาแฟที่มีนวัตกรรมนี้ มีที่มาจากการได้ไปพบเห็นปัญหาการใช้เครื่องชงกาแฟแรงดันไอน้ำที่ต้องใช้ความชำนาญสูง ต้องฝึกฝนคนที่จะมาเป็นบาริสต้าเป็นเวลานาน แต่ด้วยนวัตกรรมนี้ ทุกคนจะสามารถชงชาและกาแฟรสชาติอร่อยได้ และยังสามารถชงออกมาเป็นรสชาติคงที่ทุกแก้ว หากมีสูตรและขั้นตอนที่ชัดเจน
[su_spacer]
ภายในงานเทศกาลไทย มีผู้ให้ความสนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor) และต้องการซื้อเครื่องชงนี้ร่วมสิบราย แต่ในงานนี้ทางบริษัทฯ ไม่ได้นำเครื่องมาจำหน่าย เพราะต้องการนำมาแสดงเพื่อจับทางตลาดก่อน อย่างไรก็ดี ทางบริษัทฯ ได้รับความเห็นเชิงบวกจากลูกค้าชาวเวียดนามและผู้ที่สนใจในงานว่า กาแฟที่ได้จากเครื่องนี้มีรสชาติใกล้เคียงกับกาแฟที่คนที่เวียดนามดื่ม แต่การชงกาแฟเวียดนามใช้การดริปกาแฟเป็นเวลาร่วม 10 นาที ขณะที่เครื่องของบริษัทฯ ใช้เวลาเพียง 2 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่รวดเร็วกว่ามาก และนอกจากชาวเวียดนามแล้ว ยังมีชาวลาวและชาวกัมพูชาที่เดินอยู่ในศูนย์การค้าได้เข้ามาสอบถามด้วยความสนใจด้วย
[su_spacer]
ความคาดหวังในการมาจัดแสดงสินค้า OTOP ในงานนี้ คุณบุญศิริฯ กล่าวว่า รู้สึกว่าผลตอบรับดีเกินคาด สำหรับการออกมาตลาดต่างประเทศครั้งแรก เพราะมีลูกค้าสนใจมากกว่าที่คาดไว้มาก และพบว่าลูกค้าชาวเวียดนามตอบสนองต่อเมนูชาไทยค่อนข้างดีมากเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าชาไทยมีภาพลักษณ์ของแบรนด์ค่อนข้างมั่นคงในตลาดเวียดนาม เพราะเพียงพูดชื่อชาไทยโดยไม่ต้องแปลเป็นภาษาเวียดนาม ลูกค้าก็สนใจเข้ามาชิมที่บูททันที ในขณะที่กาแฟสดของไทยอาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คนเวียดนามยังไม่คุ้นเคย และวัฒนธรรมกาแฟของเวียดนามก็ค่อนข้างแข็งแรงอยู่แล้ว
[su_spacer]
คุณบุญศิริฯ กล่าวทิ้งท้ายถึงบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากการมาออกตลาดเวียดนามในครั้งนี้ ว่า “ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษาวัฒนธรรมการบริโภคและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้ลึกซึ้ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านเครื่องดื่มที่จะมาตีตลาดเวียดนามอาจต้องเรียนรู้วัฒนธรรมเฉพาะของที่นี่ด้วย เพราะคนเวียดนามทานกาแฟไม่เหมือนบ้านเรา อย่างตอนแรกที่ทางบริษัทฯ เตรียมกาแฟสดมา การตอบรับต่อสินค้ายังไม่ค่อยดี แต่เมื่อตลาดไม่ตอบสนอง ก็ต้องเร่งปรับตัวให้ทันและจับทางให้ถูก เมื่อเปลี่ยนมาเป็นชาไทย ลูกค้าเวียดนามจึงเข้ามาสอบถาม/แสดงความสนใจ ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการปรับตัว คอยสังเกต ในช่วงแรกที่ขายไม่ได้ ก็ให้สอบถามความเห็นจากคนท้องถิ่นหรือสื่อสารผ่านล่ามให้ช่วยถามลูกค้าดู พอรู้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนและแก้ไขตรงไหนแล้วก็จะทำให้ขายสินค้าได้ดีขึ้นอย่างง่ายดาย”
[su_spacer]
ในตอนต่อไป พบกับบทสรุปของคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะมาเจาะตลาดเวียดนาม และความสำเร็จของงานเทศกาลไทยในการยกระดับสินค้าไทยไปสู่สากล สร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก และกระจายความเจริญไปสู่ระดับชุมชนอย่างทั่วถึง
[su_spacer]
โดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ