รายงานฉบับล่าสุดของสํานักงานทูตการเกษตรของสหรัฐฯ (USDA Foreign Agricultural Service) คาดการณ์ว่าฟิลิปปินส์จะต้องนำเข้าข้าวจากต่างประเทศในปริมาณ 2.3 ล้านเมตริกตันภายในปีนี้ เพิ่มสูงขึ้น 21% จากปีก่อนที่นำเข้า 1.9 ล้านเมตริกตัน เนื่องจากผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ สำนักงานอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์ (National Food Authority) ได้รายงานว่ามีภาคเอกชนจำนวน 180 บริษัทยื่นคำขอนำเข้าข้าวมากกว่าโควตา ซึ่งมีปริมาณ 1,185,764 เมตริกตันและนำเข้าจากเวียดนาม ไทย ปากีสถาน อินเดีย เมียนมา และจีน ทั้งนี้ สํานักงานทูตการเกษตรฯ ยังเชื่อว่าการนำเข้าข้าวที่เพิ่มขึ้นของฟิลิปปินส์มีจุดประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพข้าวในสินค้าคงคลังก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเดือนพฤษภาคม 2562 [su_spacer size=”20″]
สำหรับในประเด็นเรื่องนี้ มีความเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน โดยนาง Cynthia Villar สมาชิกวุฒิสภาของฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า ภายหลังจาก พรบ. มาตรการภาษีข้าว (Rice Tariffication Law) ได้ผ่านสภาฯ พรบ. ดังกล่าวได้จัดตั้งกองทุนเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันสินค้าข้าว (Rice Competitiveness Enhancement Fund – RCEF) ขึ้น โดยมีเงิน 10,000 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ต่อปีเพื่อช่วยให้ชาวไร่ชาวนาฟิลิปปินส์สามารถทำกำไรในสินค้าข้าวได้ โดยกองทุน RCEF จะช่วยเหลือและป้องกันอุตสาหกรรมข้าวภายในประเทศจากความผกผันด้านราคา ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะจัดหาเงินทุนเป็นจำนวน 10,000 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ต่อปีติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6 ปี เพื่อให้ฟิลิปปินส์สามารถเก็บภาษีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศมาทดแทนได้ [su_spacer size=”20″]
อนึ่ง กองทุนนี้จะถูกใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ เพื่อชาวไร่ชาวนาของประเทศ เช่น การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าว การพัฒนาเครื่องจักรทางการเกษตร เป็นต้น และ พรบ. ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงเพดานภาษีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศด้วย โดยจะมีภาษีข้าวเพิ่มขึ้นถึง 35% อย่างไรก็ตาม จะไม่จำกัดปริมาณการนำเข้าข้าว [su_spacer size=”20″]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา