ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการพัฒนาในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง และดึงดูดบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกทั้งจากสหรัฐฯ ยุโรป เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ให้เข้ามาดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น รวมทั้งการเข้ามาเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค (Regional Headquarters – RHQs) โดยมีสิงคโปร์เป็นประเทศเป้าหมายหลักในการเข้ามาตั้ง RHQ โดยจากสถิติของ ISEAS Yusof Ishak Institute ระบุว่า ปัจจุบัน มีบรรษัทข้ามชาติมากกว่า 7,000 บริษัท ดำเนินงานอยู่ในสิงคโปร์ ในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่งเข้ามาตั้ง RHQ ในสิงคโปร์
ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ขอพาทุกท่านมาดู 8 เหตุผลที่ทำให้สิงคโปร์เป็นที่นิยมสำหรับการตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคของบริษัทระดับโลก ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
1) การเดินทาง ท่าอากาศยานชางฮีของสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการบินที่สําคัญของภูมิภาค
มีเที่ยวบินทำการบินประมาณ 7,000 เที่ยวต่อสัปดาห์ ในจำนวนนี้ เดินทางไปยัง 380 เมืองใน 90 ประเทศทั่วโลก ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง
2) ด้านระบบภาษี สิงคโปร์เก็บภาษีบริษัทเพียงร้อยละ 17 ซึ่งต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย เป็นรองเพียงฮ่องกงที่ใช้อัตราร้อยละ 16.5 ทั้งนี้ สิงคโปร์มีสนธิสัญญาความตกลงทางภาษีกับ 82 ประเทศทั่วโลก
3) เสถียรภาพทางการเมือง ทำให้มีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยายของรัฐบาล
4) การใช้ภาษาอังกฤษ เป็นเสมือนภาษาราชการ ทําให้สะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ
5) ความได้เปรียบด้านแรงงาน ที่มีการศึกษาสูงและมีชาวต่างชาติมาก
6) มีบริการด้านข้อมูลและตลาดแรงงาน วิชาชีพสูงและตลาดทางการเงินซึ่งเป็นบทบาทสําคัญของการตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค
7) มีธนาคาร สำนักงานกฎหมายและสำนักงานบัญชี จำนวนมาก ที่สามารถให้บริการทางวิชาชีพให้กับสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค
8) มีความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กับหลายประเทศ เช่น อาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น และกําลังจัดทํา FTA กับ EU ซึ่งกําลังให้สัตยาบัน โดยร้อยละ 74 ของสินค้าส่งออกของสิงคโปร์ใช้ประโยชน์จาก FTA เหล่านี้ ทำให้สำนักงานใหญ่สามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ที่สิงคโปร์มีกับทั่วโลก โดยใช้สิงคโปร์เป็นฐานโลจิสติกส์ในการ re-export สินค้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสิงคโปร์จะมีข้อได้เปรียบหลายด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่สิงคโปร์ก็ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่สำคัญ 2 ประการคือ (1) แนวโน้มค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2553 ค่าจ้างแรงงานระดับผู้จัดการในสิงคโปเฉลี่ย 3,710 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แต่ในปี พ.ศ. 2558 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 5,337 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และ (2) อัตราค่าเช่าสำนักงานซึ่งมีอัตราสูงขึ้นร้อยละ 3-5 ต่อปี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่สูงขึ้น และเริ่มมองประเทศอื่นในภูมิภาคในการตั้งสำนักงานใหญ่ทดแทน โดยเฉพาะไทย ที่ออกมาตรการจูงใจในด้านต่าง ๆ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา โดยเฉพาะด้านภาษี ทั้งนี้ การสำรวจข้อคิดเห็นของบริษัทญี่ปุ่นที่มีสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอาเซียนของ JETRO (Japan External Trade Organization) ในปี พ.ศ. 2558 พบว่า บริษัทญี่ปุ่นตัดสินใจตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคทั้งที่สิงคโปร์และไทยโดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยสำนักงานที่สิงคโปร์จะเน้นด้านการตลาด การขาย และด้านธุรกรรมทางการเงิน ขณะที่สำนักงานที่ไทยจะเน้นด้านการบริหารการผลิต การจัดซื้อและกิจกรรมเกี่ยวกับการผลิต