ความตกลงการยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย – จีน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567 สื่อทางการจีน เช่น สำนักข่าว Xinhua และ China News ได้เผยแพร่บทความภายใต้หัวข้อ ‘หนังสือเดินทางจีนได้รับความนิยมมากขึ้น จีน – ไทยเข้าสู่ยุคแห่งการยกเว้นวีซ่า’ โดยสรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้
- จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดของไทย มีการลงทุนในไทยมากที่สุด และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่สุดของไทย
- ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่สามของจีนในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยสินค้าเกษตรของไทย เช่น ข้าวสาร ยางธรรมชาติ และผลไม้เขตร้อนได้รับความนิยมในตลาดจีน
- นโยบายการยกเว้นวีซ่าระหว่างกันจะมีผลให้การทำธุรกิจ การศึกษา และการท่องเที่ยวของประชาชน สองฝ่ายมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
- ไทยมีมาตรการเตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจีน เช่น การเปิดใช้งานอาคารผู้โดยสารใหม่ สนามบินสุวรรณภูมิ การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินไทย – จีน รวมถึง กรุงเทพมหานคร – คุณหมิง/เฉิงตู และการเปิดบริการชำระเงินผ่าน Wechat Pay ของ BTS สายสีเขียวทั้งสองเส้น
ข้อมูลจาก บริษัท Qunar.com ชี้ว่าหลังเทศกาลหยวนเซียว ฝนและหิมะตกในหลายพื้นที่ของจีนได้หยุดตกและอากาศเริ่มอุ่นขึ้น และพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา จำนวนนักท่องเที่ยวจีนอายุ 55 ปีขึ้นไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด – 19 โดยสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ โซล โตเกียว โอซาก้า ฮ่องกง ภูเก็ต โคตาคินาบาลู และเมลเบิร์น
การบินพลเรือนจีน (CAAC) แถลงว่า ในช่วง 12 – 18 กุมภาพันธ์ 2567 บริษัทสายการบินจีนและต่างประเทศได้ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศกว่า 5 พันเที่ยว (ไป – กลับนับเป็น 1 เที่ยว) ซึ่งฟื้นตัวสู่ระดับร้อยละ 70.7 ของช่วงก่อนโควิด – 19 ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 มีเที่ยวบินระหว่างไทย – จีน ทั้งหมด 7,746 เที่ยว คิดเป็นร้อยละ 64 ของช่วงก่อนโควิด – 19
นอกจากนี้ จีนได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายหลังยุคโควิด – 19 และให้ความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564 -2568) ซึ่งได้เน้นย้ำแนวทางนโยบายเศรษฐกิจในระยะยาว เช่น การผลักดัน high quality development, การส่งเสริมการปฏิรูปและการเปิดประเทศ และการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งนี้ จีนยังมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ได้แก่
- เขตเศรษฐกิจสำคัญ การบูรณาการของกรุงปักกิ่ง – นครเทียนจิน – มณฑลเหอเป่ย (Beijing – Tianjin – Hebei Integration หรือ จิง – จิน – จี้) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์แรกระดับภูมิภาคที่ประธานธิบดี สี จิ้นผิง ผลักดันในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2557 – 2566) โดยมีผลงานเด่น เช่น การคมนาคม การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงทางธุรกิจ โดยปัจจุบันมีการเชื่อมโยงเมืองหลักในพื้นที่ด้วย “วงแหวนคมนาคม 1 – 1.5 ซม.”
- ความเป็นเมือง (Urbanization) ณ สิ้นปี พ.ศ. 2566 อัตราการพัฒนาความเป็นเมืองของจีนอยู่ที่ร้อยละ 66.16 ซึ่งถือว่าบรรลุเป้าหมายที่กำหนดในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2564 -2568) ล่วงหน้าถึง 2 ปี
- การพัฒนาระบบคมนาคม ในปี พ.ศ. 2566 จีนมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่เปิดให้บริการใหม่ 2,776 กิโลเมตร มีสนามบินการขนส่งทางอากาศทั้งหมด 259 แห่ง และระบบไปรษณีย์ได้เชื่อมโยงทุกหมู่บ้านในจีน ทั้งนี้ การคมนาคมของจีนได้เปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบอัจฉริยะและสีเขียวมากขึ้น เช่น เครือข่ายสัญญาณเส้นทางรถไฟความเร็วสูงอัจฉริยะ ท่าเรืออัจฉริยะ และรถเมล์พลังงานไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 77.6 ของรถเมล์ทั้งหมด ทั้งนี้ เรือสำราญลำแรกของจีนและเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ C919 ได้เริ่มให้บริการในเชิงพาณิชย์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จีนจะผลิตขบวนตัวอย่างและเริ่มทดสอบรถไฟความเร็วสูงรุ่น CR450 ที่มีความเร็วสูงสุด 450 กิโฃลเมตร/ชั่วโมง ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2567
จากมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน ถือเป็นโอกาสอย่างสูงที่ไทยจะได้นำเสนอสินค้าและการบริการที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจีน เช่น เรียนมวยไทย ชิมอาหาร Sreet Foods ดำน้ำ และนวด และพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวชาวจีนแต่รวมถึงนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพทางการใช้จ่ายที่ดี ททท. เผยว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนที่ไทยช่วงวันที่ 10 – 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 มีจำนวนสูงกว่าที่คาดการณ์ถึง 244,000 คน และมากกว่าถึง 6 เท่าของปี พ.ศ. 2566 คิดเป็นปริมาณการใช้จ่ายรวมประมาณ 8.6 พันล้านบาท หรือ 239 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2566 ที่มีมูลค่าเพียง 1.3 พันล้านบาท
*******************
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์