เวียดนามออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ มีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น การลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 8% (จากเดิม 10%) จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 การเพิ่มฐานเงินเดือน การเพิ่มเงินบำนาญ ประกันสังคม และเงินช่วยเหลือรายเดือน นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ธนาคารเอกชนต่าง ๆ ในเวียดนาม เช่น GPBank HDBank Oceanbank NCB VietABank SHB และ SCB ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป เฉลี่ยอยู่ที่ 0.1 – 0.5% โดยระบุอัตราดอกเบี้ยระยะ 1 ปี อยู่ที่ 7 – 7.2% ต่อปี ในขณะที่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้แก่ Agribank BIDV Vietcombank Vietinbank กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนต่ำที่สุดในตลาดที่ 6.3% ต่อปี อนึ่ง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวียดนามได้ลงนามในความตกลงการค้าเสรีกับอิสราเอล (VIFTA) เป็นที่เรียบร้อย
ด้านอุตสาหกรรมพลังงาน เวียดนามเตรียมสร้างโรงงานไฟฟ้าแห่งที่ 3 ที่จังหวัดท้ายบิ่ญ ภายใต้กรอบการดำเนินงานของบริษัท Thai Binh Hung Thinh JSC ของเวียดนาม และ บริษัท Roding Mobility ของเยอรมนีที่ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะมีบริษัท Roding Mobility คอยให้คำแนะนำด้านเทคนิค คอยดูแลการดำเนินการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ไปจนถึงการผลิตที่ครบวงจรและการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ไฟฟ้าในตลาดเวียดนาม และการส่งออกไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ เวียดนามนำเข้ารถยนต์จากไทยเกือบ 50% จากปริมาณการนำเข้ารถยนต์ทั้งหมด ซึ่งไทยได้แซงหน้าอินโดนีเซีย และจีนกลายเป็นประเทศที่มีการส่งออกรถยนต์สำหรับรูปมายังเวียดนามมากที่สุดในปี พ.ศ. 2566 ด้วยจำนวนรถยนต์ 32,373 คัน มูลค่าการซื้อขายที่ประมาณ 678.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยรุ่นของรถยนต์ที่นิยมนำเข้ามา เช่น Toyota Corolla Cross Ford Everest Ford Ranger Honda HR-V
รัฐมนตรีช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม (MOIT) ระบุว่า สถานการณ์การจ่ายไฟฟ้าในภาคเหนือของเวียดนามดีขึ้นตามลำดับตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และยืนยันว่าจะไม่มีการขาดแคลนไฟฟ้าตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2566 เนื่องจากการจ่ายไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นไปอย่างยากลำบาก และได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหาเร่งด่วน 4 ประการ ได้แก่ จัดหาเชื้อเพลงที่เพียงพอ การลดปัญหาของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน การเร่งดำเนินโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มการประหยัดไฟฟ้า ทั้งนี้ ในระยะยาว จำเป็นต้องเร่งลงทุนในโครงการแหล่งพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วไป
ด้านโลจิสติกส์ กระทรวงการคมนาคมเวียดนามเตรียมตั้งคณะทำงานศึกษารถไฟความเร็วสูงสายเหนือ – ใต้ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการลงทุนสูงและมีผลระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อีกทั้งยังมีเทคนิคที่ซับซ้อน จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการศึกษาอย่างละเอียดและระมัดระวัง เพื่อการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์