สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระบบอัตโนมัติมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากเกาหลีใต้ โดยมีหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมมากกว่า 600 ตัวต่อคนงาน 10,000 คน (60 ตัวต่อ 1,000 คน) โดยโรงพยาบาลในสิงคโปร์ อาทิ Changi General Hospital (CGH) ได้ใช้ประโยชน์จากวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในการปรับปรุงคุณภาพการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม เช่น (1) หุ่นยนต์ทำความสะอาด (2) โดรนตรวจสอบด้านหน้าอาคาร (3) ยานพาหนะอัตโนมัติส่งมอบอาหาร ผ้าต่าง ๆ และเครื่องอุปโภคบริโภคหลายพันรายการให้กับผู้ป่วย (4) หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับนักบำบัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมอง (5) หุ่นยนต์ช่วยบำบัดผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
เมื่อโรงพยาบาลเริ่มใช้หุ่นยนต์จำนวนมากขึ้นเพื่อขยายขอบเขตงาน ความซับซ้อนของการประสานงานและการปรับใช้ในสภาพแวดล้อมการทำงานก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก หุ่นยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ต้องหลีกเลี่ยงการชนระหว่างกัน หลีกเลี่ยงผู้คนจำนวนมาก รถเข็นของ และรถเข็นผู้ป่วย ดังนั้นโรงพยาบาลจึงเริ่มดำเนินการโครงการต่าง ๆ ดังนี้
(1) หน่วยงาน Center for Healthcare Assistive and Robotics Technologies (CHART) ของโรงพยาบาล CGH ร่วมมือกับสาธารณสุขสิงคโปร์ (MOH) บริษัทวิศวกรรม HOPE Technik และพันธมิตรอื่น ๆ ได้พัฒนา Robotic Middleware for Healthcare (RoMi-H) เครื่องแรกของโลก ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่หุ่นยนต์สามารถนำทางได้ด้วยตนเองในสภาพแวดล้อมที่มีมนุษย์จำนวนมาก หรือเส้นทางแคบ ๆ รวมถึงพัฒนาระบบการชาร์จแบบสากลโดย RoMi-H ประสบความสำเร็จในการทดสอบการใช้งานในโรงพยาบาลของรัฐและสถานบำบัดรักษาโรคโควิด-19
(2) โครงการ National Robotics Program (ภายใต้หน่วยงาน Enterprise Singapore: ESG) ร่วมมือกับโรงพยาบาล CGH และ บริษัท HOPE Technik เพื่อพัฒนามาตรฐานใหม่ Technical Reference 93 (TR93) สำหรับสถาปัตยกรรมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่กลมกลืนกันระหว่างหุ่นยนต์ ลิฟต์ และทางเข้าประตูอัตโนมัติ มาตรฐานนี้ช่วยให้นำหุ่นยนต์ไปใช้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และบูรณาการภายในอาคาร รวมทั้งเป็นแนวทางให้กับผู้ผลิตหุ่นยนต์และเจ้าของอาคารในการปรับใช้หุ่นยนต์หลายตัวในอาคารอัจฉริยะ
ทั้งนี้ โรงพยาบาล CGH และบริษัท CapitalLand Investment Limited (CLI) ได้ร่วมก่อตั้งโครงการ Vibrant @ East Coast ในปี 2564 ซึ่งเป็นการรวบรวมสถาบัน บริษัท และชุมชนเพื่อปรับปรุงคุณภาพและประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยในชายฝั่งตะวันออกของสิงคโปร์ โดยโรงพยาบาล CGH ได้พัฒนานวัตกรรม CHART และห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ส่วนบริษัท CLI ได้ก่อตั้ง Smart Urban Co-Innovation Lab ด้วยศักยภาพดังกล่าว สิงคโปร์ ถือเป็นห้องทดลองด้านอุตสาหกรรมการพัฒนาการแก้ปัญหาและตอบโจทย์เมืองอัจฉริยะแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปี 2565 พันธมิตรทั้ง 2 ราย ได้ขยายความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตลิฟต์ KONE เพื่อทดสอบการใช้งานหุ่นยนต์ฟังก์ชันหลากหลายพร้อมกับการใช้ลิฟต์ โดยใช้มาตรฐาน TR93 ซึ่งถือเป็นการปรับใช้หุ่นยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเคลื่อนไหวทางราบและการขึ้นลงอาคารสูง และได้ทำการทดสอบที่ (1) ชุมชน Heartbeat @ Bedok (2) อาคารสำนักงาน The Galen ที่ Science Park 2 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บริษัทมากกว่า 25 แห่ง รวมถึงผู้ผลิตหุ่นยนต์ ผู้ผลิตลิฟต์/ประตู และฝ่ายจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แสดงความสนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
กรณีประเทศไทย โรงพยาบาลในประเทศไทยได้ใช้หุ่นยนต์ทางการแพทย์ในหลายด้าน เช่น หุ่นยนต์ที่ช่วยในการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหัวใจและมะเร็งต่อมลูกหมากของโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณ และโรงพยาบาลกรุงเทพ รวมถึงหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดผ่านระบบกล้อง Laparoscope ที่โรงพยาบาลปิยะเวท ถือเป็นหนึ่งเส้นทางที่ตอกย้ำถึงความพร้อมในการผลักดันให้เมืองไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของการแพทย์ในเอเชีย (Medical Hub) ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยโรงพยาบาลศิริราชได้เริ่มนำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดตัวแรกมาใช้เมื่อ 5 ปีก่อน โดยได้ช่วยผ่าตัดคนไข้ไปแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาคเอกชน เช่น บริษัท AIS ได้สร้าง AIS ROBOTIC LAB เมื่อปี 2563 เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์ 5G ช่วยทีมแพทย์และพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยการลดความเสี่ยงจากการสัมผัส และได้ส่งมอบหุ่นยนต์จำนวน23 ตัว ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ กว่า 22 แห่ง โดยหุ่นยนต์สามารถตรวจอุณหภูมิร่างกาย ค่าออกซิเจนในเลือดและจัดส่งยาให้ผู้ป่วย รวมทั้งมีระบบปรึกษาทางไกลระหว่างคนไข้และแพทย์ ช่วยให้การตรวจติดตามอาการผู้ป่วยเป็นไปอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยด้านวิทยาการหุ่นยนต์สามารถศึกษาแนวทางพัฒนาเทคโนโลยีจากสิงคโปร์ เพิ่มเติมรูปแบบการใช้งานของหุ่นยนต์ทั้งด้านการแพทย์ รวมถึงการนำมาใช้ในชุมชนและอาคารสถานที่เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสังคมไทยต่อไป