เมื่อฤดูร้อนเวียนมาถึงในประเทศจีน ตลาด “กุ้งเครย์ฟิช” หรือ “เสี่ยวหลงเซีย” ก็เริ่มคึกคักอย่างเห็นได้ชัด สัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดนี้ได้รับความนิยมแพร่หลายทั้งในหมู่ผู้บริโภคทั่วไปและร้านอาหารชื่อดังหลายแห่ง จนกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมประมงที่เติบโตเร็วที่สุดของจีน โดยมีการพัฒนาแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ข้อมูลจาก China Crayfish Industry Development Report (2024) ระบุว่า ในปี 2566 จีนมีพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชรวมกว่า 12.29 ล้านไร่ และผลผลิตรวมสูงถึง 3.161 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.35 จากปีก่อนหน้า
จุดเด่นของการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในจีน คือการผสมผสานกับการปลูกข้าวในแปลงนา โดยเฉพาะในเขตภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่เกษตรขนาดใหญ่และแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ วิถีการเกษตรแบบ “กุ้งในนา” ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่ยังลดต้นทุนการเลี้ยง และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีรายงานระบุว่า รายได้จากการเลี้ยงกุ้งในนาสูงกว่าการปลูกข้าวถึง 10 เท่า ภาครัฐจีนยังให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องผ่านเงินอุดหนุนสำหรับการขุดคูน้ำ การปรับปรุงแปลงนาในฤดูว่าง และการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบนิเวศแบบยั่งยืน
นอกจากปริมาณผลผลิตที่สูงแล้ว กุ้งเครย์ฟิชยังถูกพัฒนาเป็นสินค้าแปรรูปหลากหลายรูปแบบ เช่น อาหารพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) และอาหารพร้อมปรุง (Ready to Cook) ที่วางจำหน่ายทั้งในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารท้องถิ่น ไปจนถึงแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดระดับประเทศ ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567 พบว่ามีร้านอาหารที่ขายเมนูกุ้งเครย์ฟิชมากกว่า 99,000 แห่งทั่วจีน โดยเฉพาะในมณฑลเจียงซู กวางตุ้ง และเจ้อเจียง
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเมืองกุ้ยก่างในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งผลักดัน “กุ้งเครย์ฟิชเซเลเนียมสูง” เป็นสินค้าชูโรงของท้องถิ่น โดยอาศัยจุดแข็งด้านดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเซเลเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติทางสุขภาพ เช่น ต้านอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เมืองกุ้ยก่างจึงพยายามสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่นให้มีมูลค่าเพิ่ม พร้อมตั้งเป้าขึ้นทะเบียนเป็น “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)” เพื่อแข่งขันในตลาดเฉพาะกลุ่มที่ผู้บริโภคจีนยินดีจ่ายในราคาสูง
ในขณะที่ระบบการผลิตของจีนมีความก้าวหน้า แต่ยังคงเผชิญข้อจำกัดในด้านการเพาะพันธุ์ลูกกุ้ง โดยเฉพาะปัญหาคุณภาพพันธุ์ที่ลดลง กุ้งขนาดเล็กลง และอัตราการรอดต่ำ ซึ่งเป็นช่องว่างที่ฟาร์มเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชของไทยสามารถเข้ามาเติมเต็มได้ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสสำหรับผู้ผลิตอาหารเสริมสัตว์น้ำ เช่น อาหารโปรไบโอติก ที่ตอบโจทย์เกษตรกรจีนที่หันมาให้ความสำคัญกับระบบการเลี้ยงแบบปลอดสารมากขึ้น
ไทยยังสามารถต่อยอดสินค้าเกษตรด้วยการส่งออก “เครื่องปรุงรสไทย” ที่เข้ากับเมนูกุ้งเครย์ฟิชในตลาดจีน เช่น ซอสรสจัด ต้มยำ หรือน้ำพริกเผา ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงหรือใช้เป็นวัตถุดิบในเมนูแปรรูปได้โดยตรง ขณะเดียวกัน ยังมีช่องทางในการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการสกัดเปลือกกุ้ง เช่น ไคติน–ไคโตซาน เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเสริม ฟิล์มถนอมอาหาร และสารเคลือบผลไม้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มรักสุขภาพของผู้บริโภคจีนในปัจจุบัน
ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
