ส้มทอง (Kumquat) หรือที่ชาวจีนเรียกว่า ‘จินจวิ๋ห์’ ส่วนคนไทยเรียกว่า ‘ส้มกิมจ้อ’ หรือ ‘ส้มเปลือกหวาน’ ซึ่งเป็นไม้กระถางและผลไม้ชื่อมงคลที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนมักนิยมนำไปวางประดับไว้ที่หน้าสำนักงานและหน้าบ้านและสามารถนำมาบริโภคได้ทั้งเปลือก โดยการปลูกส้มทองในอำเภอยรงอัน เมืองหลิ่วโจว เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง มีประวัติยาวนานเกือบ 300 ปี สามารถสืบย้อนกลับไปถึงสมัยจักรพรรดิเฉียนหลงในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งตรงกับปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาต้นกรุงธนบุรี จนถึงปัจจุบัน อำเภอยรงอันกลายเป็นแหล่งผลิตส้มทองผิวเกลี้ยงขลับและส้มทองชุ่ยมี่ ที่สำคัญของประเทศจีน
ในปี 2567 อำเภอยรงอันมีพื้นที่ปลูกส้มทองราว 226,000 หมู่จีน หรือราว 94,170 ไร่ คาดการณ์ผลผลิต 260,000 ตัน สร้างมูลค่าการผลิตได้ราว 3,600 ล้านหยวน มูลค่าในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเกือบ 10,000 ล้านหยวน และส้มทองยรงอัน มีมูลค่าแบรนด์ 5,921 ล้านหยวน อยู่ในอันดับ 64 ของประเทศ เป็นแบรนด์สินค้าที่บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของเขตฯ กว่างซีจ้วงที่ขยับขึ้นเร็วที่สุดในปีนี้ (ขยับขึ้น 15 อันดับจากปีก่อน) โดยส้มสีทองที่แพงกว่าทุเรียนเป็นส้มทอง 3.0 ส้มทองที่ผ่านการคัดเลือกและอัปเกรดสายพันธุ์จนมาถึงรุ่นที่ 3 ได้ชื่อว่า ส้มทองชุ่ยมี่ ซึ่งเป็นของดีอำเภอยรงอัน
แม้จะมีการนำต้นพันธุ์ไปปลูกกระจายในหลายเมืองบริเวณพื้นที่จีนตอนใต้ แต่ไม่สามารถทดแทนของแท้จากยรงอันที่มีเนื้อกรอบและรสชาติหวาน โดยส้มยรงอันจะมีลักษณะผลกลมรีขนาดเท่าไข่ไก่ เปลือกบางกรอบ เนื้อสีเหลืองส้ม ไร้เมล็ด นิยมรับประทานผลสดทั้งเปลือก ในส่วนของผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดช่วงต้นฤดูหนาว ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปีถัดไป ซึ่งผลสุกที่ออกในช่วงต้นฤดู เปลือกส้มจะมีสีส้มแกมเขียว แต่ในช่วงปลายฤดูเปลือกจะมีสีส้มสด นอกจากนั้นส้มทองชุ่ยมี่มีการคัดคุณภาพตามขนาดเหมือนไข่ไก่ตั้งแต่ 1 ถึง 6 โดยชุ่ยมี่เบอร์ 1 จะเป็นรุ่นพรีเมี่ยมคิงไซซ์ ไปจนถึงเบอร์ 6 ที่เป็นรุ่นตกเกรดมินิไซซ์ โดยมีราคาขายปลีกต่อกิโลกรัมอยู่ที่กิโลกรัมละ 35 – 160 หยวน (ทุเรียนหมอนทองไทย ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 45 หยวน)
ภาครัฐได้วางตัวให้ ส้มทองชุ่ยมี่ เป็นเครื่องมือแก้จนของอำเภอยรงอัน เมืองหลิ่วโจว แม้ว่าเมืองหลิ่วโจวจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมชั้นนำและมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของกว่างซีรองจากนครหนานหนิง แต่ยังมีพื้นที่ชนบทห่างไกลอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นพื้นที่เกษตรยากจนซึ่งรวมถึง อำเภอยรงอัน ที่เคยอยู่ในบัญชีรายชื่อ อำเภอยากจนของเขตฯ กว่างซีจ้วงด้วย โดยอำเภอรยงอัน ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลไปด้านเหนือของเมืองหลิ่วโจวติดกับเมืองกุ้ยหลิน ผู้อาศัยราวร้อยละ 46.3 เป็นชนชาติส่วนน้อย เช่น จ้วง เย้า แม้ว ต้งและมู่หล่าว อีกทั้งสภาพภูมิประเทศมีลักษณะซับซ้อน มีทั้งภูเขาขนาดกลาง-ต่ำที่มีความลาดชัน ภูเขาหินปูนที่มีโพรงน้ำใต้ดินและที่ราบตะกอน จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่
ทั้งนี้ ภาครัฐได้นำแนวคิด ‘ให้เบ็ดดีกว่าให้ปลา’ มาใช้สำหรับการขจัดความยากจนในพื้นที่ โดยเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน สะพาน ทางรถไฟ การส่งน้ำชลประทาน) และระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต) ให้เข้าถึงพื้นที่และยังคงยึดมั่นหลักการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในหมู่ข้าราชการและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ประจำอยู่ในหน่วยงาน/องค์กรท้องถิ่นอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
อำเภอยรงอัน เป็นพื้นที่ทำการกษตร นากจากการปลูกและแปรรูปไม้กระดานสนหนามจีนแล้ว การปลูกส้มทองก็เป็นอีกหนึ่งสินค้าการเกษตร OTOP ของอำเภอยรงอัน ภาครัฐจึงได้วางตัวให้ ส้มทองเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือแก้จนของชาวชนบท โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตรสู่อุตสาหกรรมการเกษตร โดยเฉพาะการส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตรและวิสาหกิจชุมชน และการจัดการแหล่งน้ำการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การหาตลาดรองรับและการกำหนดมาตรฐานการผลิต
ในส่วนของการส่งเสริมการดำเนินงานในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานในรูปแบบ การเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการด้านต่างๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มผลิตภาพและผลิตผล ช่วยยกระดับคุณภาพให้ได้มาตรฐานเดียวกันและช่วยลดต้นทุนการผลิตต่ำลงจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) กล่าวคือ แทนที่เกษตรกรจะต่างคนต่างปลูกเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ขาดการวางแผนการผลิตและการตลาด การแลกเปลี่ยนความรู้ ผลผลิตที่ได้มีรสสัมผัสไม่เหมือนกัน ภาครัฐจึงได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรร่วมกันทำ การเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อส่งเสริมพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีผู้จัดการแปลงเป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่ทุกกิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
หนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมคือ บริษัท+ฟาร์มเกษตร+เกษตรกร โดยบริษัทกับเกษตรกรทำความตกลงร่วมกันเป็นเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) เกษตรกรมีหน้าที่ปลูกพืชผลเกษตรให้ได้คุณภาพที่ดี บริษัทจะรับซื้อในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด ขณะที่ภาครัฐคอยให้การสนับสนุนด้านฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร การอุดหนุนเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พันธุ์กล้าที่มีคุณภาพดีและสร้างแพลตฟอร์ม/ช่องทางการจัดจำหน่ายให้เกษตรกร อีกทั้งมีการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการไลฟ์สดเพื่อสร้างรายได้ให้กับสินค้าเกษตรขั้นต้น เป็นสินค้า OTOP ท้องถิ่นผ่านระบบ e-Commerce จำหน่ายไปทั่วประเทศจีนในปัจจุบัน อำเภอยรงอันมีผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ 749 ราย ร้านค้าอีคอมเมิร์ซ 23,000 ราย ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ 60 ราย ยอดขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 6.3 เท่าใน 8 ปี จาก 880 ล้านหยวนในปี 2559 เป็น 5,600 ล้านหยวนในปี 2566 ที่ผ่านมา
นอกจากความก้าวหน้าของอีคอมเมิร์ซและความสะดวกรวดเร็วด้านโลจิสติกส์แล้ว ยังมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และกระบวนการคัดบรรจุที่เหมาะสมเพื่อให้ส้มทองคงความสดใหม่และไม่เสียหายระหว่างการขนส่ง รวมถึงบรรจุภัณฑ์พรีเมี่ยมสำหรับใช้มอบเป็นของขวัญในช่วงเทศกาล อีกทั้งสินค้าต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ด้วยความสนับสนุนของศุลกากรหลิ่วโจวในการลงพื้นที่แนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการส่งออกให้กับเกษตรกรและโรงคัดบรรจุ ปัจจุบันส้มทองยรงอัน ประสบความสำเร็จในการทำตลาดที่ต่างประเทศแล้ว อีกทั้ง มีสวนส้มทองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกแล้ว 7 แห่ง โรงคัดบรรจุ 4 แห่ง ในส่วนของในปี 2566 อำเภอยรงอันส่งออกส้มทอง 10 ล็อต น้ำหนักรวม 50 ตัน มูลค่ามากกว่า 1.2 ล้านหยวน
ทั้งนี้ การเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการวิจัยพัฒนาและแปรรูปสินค้าเชิงลึก เช่น ขนมไส้ส้มทอง ยาอมสมุนไพรส้มทอง ไซรัปส้มทอง ส้มทองแช่อิ่ม น้ำผลไม้ส้มทอง โดยมีนิคมอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ส้มทองเพื่อการฟื้นฟูชนบทภายใต้ความร่วมมือกวางตุ้ง-กว่างซีและนิคมอุตสาหกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตรอำเภอหลงอันเป็นฐานการแปรรูปหลัก ซึ่งนิคมข้างต้นเป็นผลสำเร็จที่ได้ตกผลึกจากความร่วมมือภายใต้นโยบาย ‘จับคู่แก้จน’ ระหว่างอำเภอซุ่ยซีกับอำเภอยรงอัน ตั้งแต่ปี 2560 โดยมณฑลกวางตุ้งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคู่หูและผลักดันให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนจัดตั้งธุรกิจแปรรูปในนิคมอุตสาหกรรมเป็นส่วนช่วยสร้างงานสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับชาวยรงอันด้วย
ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ หนานหนิง
เรียบเรียง : ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์