ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ส่งผลให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง เป็นโอกาสดีของอุตสาหกรรมโรงแรมในการพัฒนาการบริการให้ตอบโจทย์กับยุคสมัยและผู้เข้าพักให้มากขึ้น จากมุมมองของ Accor หนึ่งในบริษัทโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่า ปัจจุบัน กระแสการเข้าพักแบบ ‘Bleisure’ (การรวมกันของคำว่า ‘Business’ และ ‘Leisure’) กำลังเป็นที่น่าจับตามอง กล่าวคือ โรงแรมในปัจจุบันต้องมีพื้นที่รองรับผู้เข้าพักไม่เพียงแต่การพักผ่อนส่วนตัว แต่ยังสามารถเป็นสถานที่ทำงานหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น เช่น พบปะเพื่อน ๆ ออกกำลังกาย พูดคุยธุรกิจ และร้านอาหาร คาดว่าเทรนด์ดังกล่าวจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี ค.ศ. 2030
ไม่เพียงเท่านั้น การดำเนินกิจการไปพร้อม ๆ กับความยั่งยืน เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าพัก ในยุคที่คนตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมควรปรับตัวให้เท่าทันกระแสเช่น การใช้กระจกภายนอกอาคารที่สามารถกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ได้ และการออกแบบห้องและทางเดินรับกับแสงโดยตรง เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ทั้งนี้ หากบรรยากาศในโรงแรมเอื้อต่อการเข้าพักหรือการทำงาน อาจส่งผลให้ระยะการเข้าพักนานขึ้น ซึ่งช่วยลด carbon footprint ได้อีกด้วย
การนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการให้บริการจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าพัก เช่น การใช้ระบบ AI จดจำรายละเอียดของผู้เข้าพัก เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลผลและมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าพักในครั้งต่อ ๆ ไป นอกจากนี้ Accor ได้ยกตัวอย่างความร่วมมือกับหุ้นส่วนในการพัฒนาแอปฟลิเคชันบริการเสริมสำหรับผู้เข้าพักของโรงแรมในเครือซึ่งช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูจิตใจและช่วยคลายเครียด
กล่าวโดยสรุป การพัฒนาโรงแรมในปัจจุบันควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้เข้าพักที่มีหลากหลายมากขึ้น ต้องคำนึงสิ่งแวดล้อม และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาเสริมสร้างการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
ที่มา: https://www.mckinsey.com/industries/travel-logistics-and-infrastructure/our-insights/hotels-in-the-2030s-perspectives-from-accors-c-suite#/