ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศอาร์เจนตินาได้ประสบปัญหาขาดดุลการค้า โดยเฉพาะการนำเข้าเชื้อเพลิง ทำให้เดือนกรกฎาคมขาดดุล 437 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มขาดดุลในเดือนสิงหาคมอีกด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นการส่งออกที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากเกษตรกรไม่มั่นใจในมาตรการประกันราคาของรัฐบาล จากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเงินเฟ้อมีสูงถึงร้อยละ 70 ในปัจจุบัน อีกทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2565 อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งห่างจากเป้าหมายที่ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 อาร์เจนตินาได้เพิ่มมาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าประเภท non-automatic licenses เพิ่มอีก 31 รายการ จากที่เคยประกาศไปนับพันรายการเมื่อปี 2560 โดยสินค้า 31 รายการมีทั้งสินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยว อาหารสัตว์ บรรจุภัณฑ์ จานชาม เครื่องประดับ เครื่องมือช่าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยสินค้ากลุ่มนี้จะถูกจัดอยู่ในประเภทสินค้าที่ฟุ่มเฟือยทันที ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายสินค้าดังกล่าว เช่น การที่กลุ่มผู้ขายสินค้าเทคโนโลยีได้ตั้งราคาขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ทั้งนี้การนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติภายใน 60 วัน จาก Secretary of Commerce
- นอกจากนี้ รัฐบาลอาร์เจนตินายังมีแผนที่จะประกาศมาตรการจำกัดการนำเข้าเพิ่มเติม ได้แก่
- ปรับวิธีคำนวณ Financial Economic Capacity (CEF) ในการอนุญาตการนำเข้าสินค้าและบริการ
- ให้ผู้นำเข้าจัดทำ Advance Affidavit เพื่อให้หน่วยงานภาษีตรวจสอบความถูกต้องของราคาซื้อขายก่อนอนุญาตให้นำเข้า
- ลดเวลาผ่อนปรน กลุ่มสินค้านำเข้าที่ยกเว้นภาษีเพื่อประกอบหรือแปรรูปก่อนส่งออก จากเดิม 360 วันเป็น 120 วัน (คาดว่าจะกระทบธุรกิจนำเข้าวัตถุดิบเพื่อแปรรูปก่อนส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกน้ำมันพืช)
จากมาตรการที่รัฐบาลอาร์เจนตินาจำกัดการนำเข้าใหม่จำนวน 31 รายการดังกล่าว เป็นร้อยละ 5 จากการนำเข้าทั้งหมดนั้น นอกจากส่งผลให้ภาคนำเข้า-ส่งออก ชะลอตัวกว่าเดิม อีกทั้งส่งผลให้เงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2565 รัฐบาลอาร์เจนตินาจึงได้มีการเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเจรจาเงื่อนไขการชำระหนี้กับ IMF ด้วยแล้ว