จีนเปิดเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงต่างประเทศสายใหม่ระหว่างจีน-เมียนมา (นครฉงชิ่ง เมืองหลินชาง-ประเทศเมียนมา) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 โดยเดินทางออกจากท่าเรือกว่อหยวน เขตเศรษฐกิจใหม่เหลี่ยงเจียง นครฉงชิ่ง ไปยังเมืองมัณฑะเลย์ เมียนมา มีการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 60 ตู้ ภายในมีสินค้าประเภทต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์เครื่องกล ชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ฯลฯ
เส้นทางการขนส่งดังกล่าวดําเนินการภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท YUXINOU (Chongqing) Logistics บริษัท COSCO SHIPPING Logistics และ บริษัท SOUTH ASIA FUTURE GROUP โดยเดินทางผ่านนครฉงชิ่ง – เมืองหลินชาง มณฑลยูนนาน – เมืองมัณฑะเลย์ เมียนมา รวมระยะทาง 2,000 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 วัน ซึ่งเร็วกว่าเส้นทางขนส่งปกติถึง 20 วัน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ร้อยละ 20 โดยเส้นทางขนส่งสายนี้ สามารถส่งออกสินค้าจากนครฉงชิ่งและพื้นที่โดยรอบออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ผ่านช่องทางสู่ทะเลของเมียนมา และสามารถเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป แอฟริกา ตลอดจนตะวันออกกลางและเอเชียใต้ โดยสามารถลดระยะทางและเวลาในการขนส่งได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเส้นทางในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งนี้ บริษัท YUXINOU (Chongqing) Logistics กําลังเร่งเปิดเส้นทางรถไฟขนส่งขากลับจากเมียนมามายังนครฉงชิ่ง เพื่อเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้าระหว่างจีนและกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เส้นทางขนส่งระหว่างประเทศสายใหม่ระหว่างประเทศจีน (นครฉงชิ่ง) – เมียนมา เป็นเส้นทางรถไฟที่เชื่อมโยงเขตวงกลมเศรษฐกิจนครเฉิงตู-นครฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งเชื่อมทางบกและทางทะเลระหว่างจีนตะวันตกเฉียงใต้กับมหาสมุทรอินเดียที่สะดวกและสั้นที่สุดในปัจจุบัน โดยเส้นทางดังกล่าวทางตอนเหนือและทางตอนใต้เชื่อมต่อกับเมืองและประเทศ ภายใต้นโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” และเชื่อมต่อกับแถบเศรษฐกิจแม่น้ําแยงซี ช่วยส่งเสริมการดําเนินงานด้านโลจิสติกส์ “เส้นทาง+ฮับ+เครือข่าย” ของนครฉงชิ่ง และช่วยส่งเสริมการก่อสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของนครฉงชิงในเชิงยุทธศาสตร์ สร้างความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างจีนกับเอเชียใต้ตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป รวมถึงอาเซียนและสมาชิก ภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ทําให้การหมุนเวียนภายในและระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ จีนยังมีแผนสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมทางบกและทางทะเลจากนครเฉิงตูและเมืองเต๋อหยาง มณฑลเสฉวน ไปยังเมียนมา โดยมีเป้าหมายใช้เมืองหลินชางเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ไปยังเมียนมาและเชื่อมต่อไปยังยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลางและเอเชียใต้
ท่าเรือกว่อหยวนนับเป็นเส้นทางขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่สําคัญและเป็น “ประตูสู่เศรษฐกิจของจีนตะวันตก” ปัจจุบัน ช่องทางการส่งออกจากท่าเรือกว่อหยวนไปยังเมืองอื่นภายในประเทศและต่างประเทศมีอยู่หลายช่องทาง อาทิ เส้นทางการขนส่งทางน้ําของแม่น้ําแยงซี เส้นทางการขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตก (ILSTC) และเส้นทางรถไฟจีน-ยุโรป โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2565 ได้มีการเปิดเส้นทางขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเลระหว่างประเทศ ระหว่างจีน-เวียดนาม จากท่าเรือกว่อหยวน นครฉงชิ่ง ไปยังนิคมอุตสาหกรรมไฮฟอง กรุงฮานอย และเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 ได้มีการเปิดเส้นทางขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเล จากแม่น้ําแยงซี-คาบสมุทรอินโดจีน โดยรถไฟจะเดินทางจากท่าเรือกว่อหยวนไปยังเวียงจันทร์ผ่านทางรถไฟจีน-ลาว
การเปิดเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศสายใหม่ระหว่างจีน-เมียนมา สะท้อนให้เห็นว่า จีนให้ความสําคัญกับการพัฒนาภูมิภาคตะวันตกของจีน และมุ่งมั่นส่งเสริมนครฉงชิ่งให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันตกของจีน และเชื่อมต่อกับอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มตัวเลือกและอํานวยความสะดวกในด้านการคมนาคมขนส่งและดึงดูดการลงทุนเข้ามาในภูมิภาคจีนตะวันตกมากยิ่งขึ้นในอนาคต
เส้นทางรถไฟสายใหม่ระหว่างนครฉงชิ่ง-เมืองมัณฑะเลย์เป็นประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้า และการค้าระหว่างจีน-เมียนมา เป็นอย่างยิ่ง จากระยะเวลาที่ลดลง ซึ่งไทยเองได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าไปยังเมียนมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมืองมัณฑะเลย์ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ หรือ Super Gateway ในการเชื่อมโยงและกระจายสินค้าไปยังจีน อินเดีย และมีศักยภาพด้านการลงทุน เนื่องจากเนืองแน่นไปด้วยนักธุรกิจ SME และยังเป็นหนึ่งใน ASEAN Smart City ที่สำคัญอีกด้วย โดยสาขาธุรกิจที่มีศักยภาพในการลงทุนในมัณฑะเลย์ เช่น ธุรกิจซื้อ-ขาย สินค้าเกษตรแปรรูป วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
นอกจากนี้ นครฉงชิ่งยังมีแผนจะเชื่อมต่อกับอาเซียน เพื่อให้สอดรับกับนโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” โดยไทยเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่สำคัญของจีนด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ EEC ในอนาคต เราจึงอาจได้เห็นการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน และกระจายไปยังต่างประเทศ หรือภูมิภาคอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ยิ่งขึ้น ดังนั้น การปรับตัวด้านศักยภาพและคุณภาพของสินค้าและแรงงาน รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเร่งพัฒนาในระหว่างนี้