ฝรั่งเศสได้กลายเป็นปลายทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับการตัดสินใจลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการธุรกิจระดับโลก A. T. Kearney จัดอันดับให้ฝรั่งเศสมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนจากต่างชาติสูงขึ้นในปี 2561 โดยขึ้นไปยังอันดับที่ 5 ของดัชนีความเชื่อมั่นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment Confidence Index) ทั้งนี้ อันดับดังกล่าวถือเป็นอันดับที่สูงที่สุดที่ฝรั่งเศสเคยได้รับจากการจัดอันดับความน่าสนใจในการลงทุน โดยผลการศึกษาดังกล่าวได้จัดอันดับให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนเป็นอันดับที่ 1 และอันดับรองลงมา ได้แก่ อันดับที่ 2 เยอรมนี อันดับที่ 3 แคนาดา และอันดับที่ 4 สหราชอาณาจักร โดยจีนได้ตกไปอยู่อันดับที่ 7 ในปีที่ผ่านมา
[su_spacer]
ปัจจัยในการการจัดอันดับความน่าสนใจในการลงทุนของบริษัท A. T. Kearney มาจากการสำรวจที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม 2562 โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวน 500 คน ซึ่งทุกบริษัทล้วนมีรายได้ต่อปีอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ อันดับในรายงานดังกล่าวคำนวณจากความน่าจะเป็นของบริษัทผู้ตอบแบบสอบถามในการทำการลงทุนโดยตรงในตลาดของประเทศต่าง ๆ ในอีกสามปีข้างหน้า และเพื่อหลีกเลี่ยงอคติที่อาจเกิดขึ้น รายงานจะใช้ผลการคำนวณเฉพาะบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในตลาดต่างประเทศเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ดัชนีของฝรั่งเศสจะเกิดจากการคำนวณโดยไม่ใช้คำตอบจากนักลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส
[su_spacer]
เนื้อหาสำคัญของผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ‘Gilets jaunes’ หรือกลุ่มประท้วงเสื้อกั๊กสีเหลืองที่ได้ออกมาประท้วงตามท้องถนนภายหลังรัฐบาลฝรั่งเศสขึ้นภาษีน้ำมันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนของปีที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลเสียหายที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ แม้จะมีหลายฝ่ายที่มองสถานการณ์นี้เป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสย่ำแย่ ตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนมกราคม 2562 นาย Frédéric Sanchez ประธานสถาบัน MEDEF International ได้กล่าวว่า “ความน่าสนใจสำหรับการลงทุนของประเทศได้ล่มสลายลง” เนื่องจากภาพเหตุการณ์ดังกล่าวในสื่อทั้งในและต่างประเทศ อาจทำให้นักลงทุนอาจมีความรู้สึกว่าฝรั่งเศสกำลังเกิดสงครามกลางเมืองที่ดูรุนนแรง รวมถึงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2562 นาย Bruno Le Maire รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของฝรั่งเศสได้กล่าวว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็น “การแสดงภาพความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของประเทศฝรั่งเศสในสายตานักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยว” อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับความน่าสนใจสำหรับการลงทุนจากต่างชาตินี้ได้ชี้ให้เห็นถึง “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ประธานาธิบดี Emmanuel Macron เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 และความรู้สึกดังกล่าวดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้น
[su_spacer]
ทั้งนี้ นักลงทุนให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และการปฏิรูปโครงสร้างอย่างต่อเนื่องมากกว่าเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศ โดยผลการศึกษาเน้นว่าการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ สำหรับรัฐบาลของนาย Macron โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดอัตราภาษีนิติบุคคลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะลดลงถึงร้อยละ 25 ภายในปี 2565 เช่นเดียวกับกฎหมายแผนปฏิบัติการเพื่อการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ หรือ PACTE (the Action Plan for Business Growth and Transformation) ที่ได้รับการลงคะแนนเสียงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมภาคธุรกิจ SMEs และแปรรูปสินทรัพย์ของรัฐบางส่วนโอนให้เป็นของเอกชน รวมทั้งรายงานฉบับดังกล่าวยังยืนยันว่าฝรั่งเศสยังคงมีความสามารถในการแข่งขันจากตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่ช่วยผลักดันการลงทุนและประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยี รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่าการลดลงของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในฝรั่งเศสที่ลดลงมากกว่าร้อยละ 40% ในปี 2561 นั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากอยู่ในระดับเดียวกับมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในช่วงปีนั้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากปัจจัยที่หลากหลายในระดับโลก
[su_spacer]
ดัชนีความเชื่อมั่นของ FDI ของฝรั่งเศสมีอันดับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งอันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจของจีนที่มีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัวลงจากสถานการณ์สงครามการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของ A. T. Kearney นั้นสอดคล้องกับรายงานของบริษัทที่ปรึกษา EY ซึ่งตั้งข้อสังเกตในรายงาน “2018 Barometer of France’s attractiveness” ว่าความน่าสนใจในการลงทุนของฝรั่งเศสสำหรับนักลงทุนต่างชาติได้อยู่ในระดับที่น่าตื่นตาตื่นใจตั้งแต่ตลอดช่วงปี 2560 มาจนถึงต้นปี 2561
[su_spacer]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส