สํานักข่าว Mishcon International Asia รายงานข่าวว่า สิงคโปร์กลายเป็นเกาะแห่งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligenca-AI) ด้วยเป็นฐานของการสร้าง AI ของหลากหลายบริษัท อาทิ (1) บริษัท Alibaba ของจีนที่ใช้สิงคโปร์เป็นฐานในการวิจัย AI ในต่างประเทศแห่งแรก โดยร่วมกับสิงคโปร์ (2) บริษัท Marvelstone ได้มีการร่วมทุน โดยใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสําหรับ AI start-ups (3) บริษัท intel ได้มีโครงการอบรมด้าน AI ร่วมกับสิงคโปร์ นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังอนุมัติงบประมาณ 115 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 2,800 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและพัฒนา AI[su_spacer size=”20″]
และเหตุที่สิงคโปร์ให้ความสนใจกับ AI เนื่องจากสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินอยู่แล้ว และหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้สิงคโปร์เติบโตเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่เข้มแข็งได้นั้น ล้วนขับเคลื่อนด้วย AI สิงคโปร์เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก มีความเป็นสากล มีนวัตกรรมใหม่ ๆ และรัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องการวิจัยและพัฒนา (R&D) นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทําให้สิงคโปร์เป็นผู้มีบทบาทในโลกยุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4”[su_spacer size=”20″]
จากการสํารวจของ INSEAD Business School ระบุว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่ติดอันดับ1 ในเอเชีย และอันดับ 2 ในโลก (รองจากสวิตเซอร์แลนด์ในการดึงดูดและสนับสนุนปัญญา/ความสามารถ (talent)) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 และในปี 2561 นี้ จากดัชนีนวัตกรรมของ Bloomberg สิงคโปร์ขึ้นเป็นประเทศในอันดับ 2 จากอันดับ 6 ในการมีนวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมเป็นปัจจัยสําคัญที่เป็นตัวเร่งอุตสาหกรรม start-up ส่งเสริมการร่วมทุนและการสนับสนุนจากภาครัฐบาล[su_spacer size=”20″]
สิงคโปร์ยังมีแรงจูงใจที่สําคัญในการส่งเสริมการปฏิวัติ AI โดยบริษัท Accenture ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและพัฒนาระบบ IT ชื่อดัง ระบุว่า การเติบโตของแรงงานในสิงคโปร์จะลดลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 0.5% ในปี 2578 ดังนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์จะขึ้นอยู่กับผลผลิตเป็นหลัก ซึ่งการพัฒนา AI จะเป็นปัจจัยสําคัญในการรักษาให้ระบบเศรษฐกิจของสิงคโปร์ยังคงเติบโตไปได้ บริษัท Accenture คาดว่า ในปี 2578 AI ในสิงคโปร์จะสามารถเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ได้อีกเท่าตัว (เพิ่มอีกประมาณ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 52.36 แสนล้านบาท)[su_spacer size=”20″]
ประเทศใหญ่ ๆ อย่างจีนหรือสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นประเทศที่ครอบครอง AI เป็นจํานวนมาก อย่างไรก็ดี มี 2 ปัจจัยที่จะทําให้สิงคโปร์มีบทบาทในด้าน AI มากขึ้น ได้แก่ (1) จีนและประเทศใหญ่อื่น ๆ หันมาร่วมมือกับสิงคโปร์ในด้าน AI มากขึ้น อาทิ ศูนย์วิจัย Alibaba ในสิงคโปร์ ก็เกิดจากความร่วมมือของบริษัท Alibaba กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University-NTU) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในการสร้างงานวิจัยเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ บริษัท SAP ของเยอรมนีที่ดูแลด้าน software ก็เลือกสิงคโปร์เป็นศูนย์ศึกษานวัตกรรม สิงคโปร์เป็นประเทศศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 600 ล้านคน และเป็นภูมิภาคที่มีอัตราเจริญเติบโตสูง ซึ่งสิงคโปร์จะเป็นประเทศที่สนับสนุนนวัตกรรมให้แก่ประเทศในภูมิภาค และในอีกแง่หนึ่ง สิงคโปร์จะสามารถหาโอกาสที่จะทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในภูมิภาคได้ ซึ่งจะทําให้สิงคโปร์เป็นผู้นําด้าน AI อย่างแท้จริง และ (2) รัฐบาลสิงคโปร์ส่งเสริมให้นํา AI มาใช้ในชีวิตประจําวันของชาวสิงคโปร์ ทั้งนี้ สิงคโปร์มีนโยบายหลักคือ Smart Nation อยู่แล้ว ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ การอ่านจําใบหน้า การเชื่อมต่อระหว่างที่อยู่อาศัยกับยานพาหนะไร้คนขับ นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังให้การสนับสนุนสําหรับโครงการ AI อาทิ การอนุญาตให้ผู้พักอาศัยในคอนโดมีเนียมสามารถยื่นคําร้องต่าง ๆ ผ่านนิติที่เป็น AI[su_spacer size=”20″]
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์