ฟินแลนด์นำเข้าเนื้อปลากว่า 80% และทำการประมงในประเทศเองเพียง 20% กฎหมายแรงงานของฟินแลนด์มีความเข้มงวดและรัดกุมมาก กอปรกับสหภาพแรงงานของฟินแลนด์มีความเข้มแข็ง จึงส่งผลให้ต้นทุนด้านการประมงและอาหารทะเลหรือการลงทุนฟาร์มปลามีต้นทุนที่สูงกว่าการนำเข้าเนื้อปลาจากต่างประเทศ โดยเมื่อปี 2565 ราคาของเนื้อปลาและสินค้าประเภทอาหารทะเลและประมงเพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 40% เมื่อเทียบกับปีที่ 2564 ซึ่งทำให้ยอดขายลดลงถึง 52%
ถึงแม้นอร์เวย์จะเป็นผู้นำตลาดด้านการส่งออกปลาแซลมอน แต่เนื่องจากราคาเนื้อปลาแซลมอนสูงขึ้นทั่วโลกสาเหตุจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นทำให้เนื้อปลาพร้อมจำหน่ายน้อยลง ประกอบกับภาวะสงครามรัสเซีย – ยูเครน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยหลังโควิด 19 ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารทั่วโลก ตลอดจนเมื่อคำนึงถึงสถิติของฟินแลนด์ที่มีความต้องการการนำเข้ากุ้งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี ดังนั้น การนำเข้าเนื้อปลา กุ้ง หรือผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป เช่น ทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีน กุ้งแปรรูป กุ้งและปลาหมึก จากไทยเข้าสู่ตลาดในฟินแลนด์และ ประเทศอื่นในนอร์ดิกและบอลติก เป็นโอกาสที่ภาคเอกชนไทยควรพิจารณา
จากเหตุปัจจัยที่สำคัญที่กล่าวมาข้างต้น กอปรกับ FAO ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2568 ความต้องการบริโภคปลาและอาหารทะเลของโลกจะอยู่ที่ประมาณ 21.8 กิโลกรัมต่อคนเพิ่มขึ้นจาก 20.3 กิโลกรัมต่อคนในปี 2558 บริษัทที่มีสายป่านยาวของไทยอาจพิจารณาควบรวม (M&A) บริษัทแปรรูปปลาและอาหารทะเลในฟินแลนด์ รวมถึงอาจพิจารณาลงทุนสร้างฟาร์มเพาะเลี้ยงปลา กุ้ง ในระบบปิดในฟินแลนด์ เนื่องจากซึ่งฟินแลนด์สามารถเป็นฐานส่งออกสินค้าดังกล่าวไปยัง ประเทศนอร์ดิก บอลติก และยุโรปตะวันออกได้
โดยฟินแลนด์นำเข้าเนื้อปลาจากนอร์เวย์มากที่สุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของการนำเข้าทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 438 ล้านยูโร อาทิปลาแซลมอนทะเลทั้งตัว ประเทศอื่น ๆ ลำดับรองจากนอร์เวย์ คือ สวีเดน (50 ล้านยูโร) เดนมาร์ก (มูลค่า 17 ล้านยูโร) และโปแลนด์ (มูลค่า 15 ล้านยูโร) นอกจากนี้ฟินแลนด์ยังนำเข้าปลาแฮร์ริ่งแปรรูปและปลาแฮรริ่งหมักจากทั้งนอร์เวย์และเดนมาร์ก และนำเข้ากุ้งจากเวียดนามอีกด้วย ในปี 2565 ฟินแลนด์นำเข้าปลา ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาและอาหารทะเลจากไทยเป็นมูลค่า 11.3 ล้านยูโร และไทยยังเป็นประเทศนอกอียูที่ส่งออกปลา ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลาและอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดและมีเวียดนามอยู่ในลำดับที่ 2 !
นอกจากนี้ ด้วยวัฒนธรรมการรับประทานอาหารแบบทานปลาในลักษณะ fillets ซึ่งไทยมี “ปลานิล” ที่มีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ และสามารถส่งออกไปในลักษณะของปลาแล่เนื้อ เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการเพาะเลี้ยงปลานิลของไทยที่ได้มากกว่า 2 แสนตันต่อปี ดังนั้น ภาคราชการและธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาส่งออกปลานิลแล่และปลานิลสดให้กับ ประเทศยุโรป ที่มีระยะทางใกล้กว่าอเมริกาและลาตินอเมริกา
ทั้งนี้ การขยายตลาดปลานิลใน EU ยังไม่กว้างขวางมากนัก เนื่องจากเวียดนามยังส่งออกปลาน้ำจืดชนิดอื่น ๆ เข้าไปยังตลาดยุโรป เช่น ปลาในตระกูล catfish (ปลาดุก) pangasius (ปลาสวาย ปลาเทพา) และ nile perch (ปลาตระกูลปลาหมอ) และแม้ว่าเวียดนามจะมี FTA กับอียูแล้ว แต่การส่งออกปลาและอาหารทะเลยังเป็นลำดับ 2 รองจากไทย รวมถึงภายหลัง EU ได้ประกาศปลดสถานะใบเหลืองของภาคประมงไทย เพื่อแสดงการยอมรับต่อความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาการทำประมงของไทย ไทยจึงยังรักษาสถานะของการส่งออกอาหารกระป๋องและแปรรูปประเภทปลาและอาหารทะเลให้ยังคงสถานะ “champion products” ได้เมื่อปีที่ผ่านมา