ด้วยแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่โดดเด่นส่งผลให้การลงทุนด้านพลังงานมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งนโยบายต่าง ๆ ของเวียดนามที่สอดรับกับการเตรียมพร้อมสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ คุณนิกรเดช ระบุว่า สถานการณ์พลังงานของเวียดนามตอนนี้สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักที่เราต้องคำนึงถึงเลย คือ การที่เวียดนามประกาศนโยบายที่ COP26 ว่าเขาจะเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2050 ดังนั้น ความมุ่งมั่นนี้จะเป็นรากฐานในการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของเวียดนามทั้งหมด โดยสะท้อนออกมาในสิ่งที่เราเรียกว่า แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติฉบับที่ 8 (Power Development Plan VIII: PDP 8) คือ การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ประมาณ 150,000 เมกะวัตต์ ภายในปี พ.ศ. 2573 เป็นพลังงานหมุนเวียนประมาณ 39% และในปี พ.ศ. 2593 เวียดนามจะยุติการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินทั้งหมด โดยเปลี่ยนพลังงานไฟ้ฟ้าที่ได้จากถ่านหินไปสู่พลังงานอื่นแทน เช่น พลังงานชีวมวล พลังงานแอมโมเนีย
นอกจากนี้ เวียดนามยังให้ความสำคัญกับการใช้ก๊าซ LNG ต่าง ๆ พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานทดแทนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ภายในปี พ.ศ. 2593 การใช้ก๊าซ LNG ทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานไฮโดรเจนแทน คุณนิกรเดช มองว่า แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติฉบับที่ 8 มีนัยสำคัญ เพราะเป็นการวางแผนแบบระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น โดยทิศทางของนโยบายการผลิตพลังงานเวียดนามจะเป็นแบบดำเนินไปทีละขั้น แล้วถึงจะไปสู่สั่งคมปลอดคาร์บอน (Carbon Free Society) ดังนั้น แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติฉบับที่ 8 จีงมีความสำคัญต่อนักลงทุนไทย เนื่องด้วยไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 9 ในเวียดนาม และการลงทุนทั้งหมดประมาณ 1 ใน 3 ของไทยอยู่ในส่วนของพลังงานทดแทน จึงอาจนับได้ว่านักลงทุนไทยเป็นผู้เล่นสำคัญในการที่ช่วยให้เวียดนามบรรลุเป้าหมายของแผนพัฒนาฯ ที่ตั้งไว้ อีกทั้งการเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันยังส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่ายด้วย
การร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานระหว่างไทยและเวียดนามเป็นไปในทิศทางที่เติบโตและยั่งยืน ดังจะเห็นได้จากโครงการที่ทั้งสองประเทศได้จัดขึ้นร่วมกันเพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย คุณนิกรเดชกล่าวว่า “ไทยกับเวียดนามมีโครงการที่สำคัญระหว่างกันอยู่ โดยเป็นโครงการที่สถานเอกอัครราชทูตฯ เป็นผู้ผลักดัน โครงการแรก คือ การจัดให้สองฝ่าย มี Thailand-Vietnam Energy Forum ซึ่งจัดมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นการนำเอาหน่วยงานด้านพลังงานของสองฝ่ายมาพูดคุยกัน ขณะที่ของไทยต่างก็มีเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นความต้องการของแต่ละฝ่ายนำโดยกระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ EGAT และภาคเอกชน” นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ริเริ่มโครงการที่เรียกว่า Emerging Leaders คือ การพาผู้นำยุคใหม่ของเวียดนามไปเยือนไทยทุกปี ซึ่งปีที่ผ่านมาได้จัดใน theme ‘Partnership for Sustainable Energy’ โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้นำผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเวียดนามไปศึกษาดูงานเมืองไทยรวมไปถึงที่โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งเป็นโมเดลแบบ Wind Hydrogen Hybrid (การเก็บกักพลังงานในรูปของไฮโดรเจนก่อนนำมาผลิตไฟฟ้า)
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Meet Thailand ซึ่งเป็นการจัดให้ผู้นำของจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งเอกชนของเวียดนาม มาพบเจอคนไทย นักลงทุนไทย และนักธุรกิจไทย ทั้งนี้ ไทยยังมีความร่วมมือด้านพลังงานกับเวียดนามที่สำคัญ คือ โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ Block B-Omob ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันเป็นโครงการ Gas to Power ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
ถึงแม้ว่าการลงทุนจะเป็นหนทางสู่ความมั่นคงและการเติบโตทางธุรกิจแต่การลงทุนกีมีความเสี่ยง หากขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ คุณนิกรเดชได้ให้คำแนะนำเรื่องสำคัญและความท้าทายที่นักธุรกิจไทยต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่างความรอบคอบก่อนเข้ามาทำธุรกิจพลังงานที่เวียดนาม 2 ประการ ได้แก่ (1) ศึกษากฎหมายเวียดนามให้ถี่ถ้วน รวมถึงศึกษาหุ้นส่วนว่าได้รับการยอมรับจากรัฐบาลเวียดนามหรือไม่ และ (2) การขาดแคลนไฟฟ้าของเวียดนาม ด้วยเวียดนามเป็นประเทศที่่ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกสูง ดังนั้น ความต้องการการใช้ไฟฟ้าก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ด้านการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดคุยประเด็นเรื่องพลังงานกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามเมื่อครั้งล่าสุดที่มาเยือน โดยเวียดนามยินดีต้อนรับการลงทุนของไทยและพร้อมมากที่่จะให้การดูแลโครงการต่าง ๆ ของไทย และท้ายที่สุดในฐานะเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ทีมไทยแลนด์ทั้งฮานอยและโฮจิมินห์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI (Board of Investment) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) และศูนย์ข้อมูลเพื่่อธุรกิจไทยในเวียดนาม (BIC) ต่างก็พร้อมสนับสนุนการลงทุนของไทยผ่านการให้ข้อมูลในเบื้องต้นและให้แนวทางแก้ปัญหาเมื่อเกิดอุปสรรคในการลงทุน
การเดินหน้าขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาดของเวียดนามภายใต้แผนพัฒนาไฟฟ้าแห่งชาติฉบับที่ 8 ถือเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับนักลงทุนทั่่วโลก และไม่ใช่เพียงแค่การสร้างผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น หากแต่เป็นโอกาสในการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลานของทุกคนในอนาคตด้วย
******************
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์