นิกรเดช พลางกูร เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ได้ให้สัมภาษณ์ใน The Secret Sauce หนึ่งในรายการของ The Standard ไว้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในโลก อันเนื่องมาจากประสบการณ์ในการผ่านช่วงเวลายากลำบากจากสงคราม ความเปลี่ยนแปลง และความยากจน ด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงหันมาให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพื่อให้เท่าทันกับนานาประเทศ
เวียดนามเริ่มดำเนินนโยบาย Doi Moi ซึ่งเป็นนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 โดยนโยบายนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปเศรษฐกิจเวียดนามขนานใหญ่ อีกทั้งยังมีการวางเป้าให้เวียดนามเข้าร่วม WTO ในปี ค.ศ. 2007 เพื่อผลักดันประเทศออกจากความยากจน ทั้งนี้ ผลของนโยบาย Doi Moi สามารถทำให้ประชากรเวียดนามกว่า 40 ล้านคนออกจากความยากจนใน 40 ปี หลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
นอกจากนโยบายข้างต้น การทูตไผ่ลู่ลม (Bamboo Diplomacy) ของเวียดนามยังเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งทำให้เวียดนามได้รับประโยชน์จากประเทศมหาอำนาจ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา เช่น การตั้งฐานการผลิตรถ EVs ของ BYD (จีน) ในเวียดนาม และการวางแผนตั้งโรงงานผลิตชิปของ Intel (สหรัฐอเมริกา) ในเวียดนาม
ทั้งนี้ เวียดนามยังมีเป้าหมายที่จะยกระดับประเทศจากอุตสาหกรรมเกษตรและแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูง อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการตั้งเป้าเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี ค.ศ. 2045 และมุ่งสู่ Net-Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050
สามารถรับชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ The Secret Sauce: https://www.youtube.com/watch?v=KWdluJ7SCws&t=1142s