ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งลากยาวมากว่า 2 ปี แต่สินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทยยังคงเป็น “รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ” โดยมียอดการส่งออกตลอดปี 2564 จำนวน 959,194 คัน เพิ่มขึ้น 30.35% จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพ และการยอมรับจากนานาชาติด้านการผลิตรถยนต์ของไทย ซึ่งหนึ่งในตลาดส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของไทย ได้แก่ “เวียดนาม”
.
กรมศุลกากรเวียดนามเผยข้อมูลว่า ในปี 2564 ไทยยังคงเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดมายังเวียดนาม ด้วยจํานวน 80,903 คัน มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณการนําเข้ารถยนต์ทั้งหมดของเวียดนาม ซึ่งสูงกว่าปี 2563 ถึง 1.5 เท่า ตามด้วยอินโดนีเซีย และจีน แม้ว่าตลาดรถยนต์เวียดนามจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2564 แต่ยังคงมีการนําเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.1 ในเชิงปริมาณ และร้อยละ 55.7 ในเชิงมูลค่าเมื่อเทียบกับปี 2563
.
ขณะเดียวกัน ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเวียดนามมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกับยอดการนําเข้า โดยในปี 2564 มีการผลิตรถยนต์ในประเทศ จํานวน 299,800 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1
.
อีกทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมสาขาการผลิตรถยนต์ภายในประเทศ เช่น การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนรถยนต์ที่ผลิต หรือประกอบภายในประเทศร้อยละ 50 และขยายเวลาการชําระภาษีสรรพสามิตสําหรับรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ และยังตั้งเป้าหมายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ออกนโยบายส่งเสริมการผลิตและการลงทุนผลิต EV ในเวียดนาม เช่น ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสําหรับ EV ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2570 รวมทั้งยกเลิกยกเว้นค่าจดทะเบียนครั้งแรกสําหรับ EV เป็นระยะเวลา 3 ปี
.
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 เวียดนามจะปรับใช้มาตรฐานการปล่อยก๊าซระดับ 5 เทียบเท่ามาตรฐาน EURO5 ตามข้อกําหนดของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติในยุโรป (UNECE) ที่จำกัดปริมาณการปล่อยฝุ่นละอองสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เวียดนามกําหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยควรเร่งศึกษาการพัฒนาและส่งออก EV ให้สอดคล้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยชูจุดเด่นด้านการใช้พลังงานสะอาดในการเจาะตลาดส่งออกเวียดนามอย่างต่อเนื่อง หรือใช้โอกาสส่งเสริมการลงทุนด้วยอัตราภาษีที่ปรับลดลงในเวียดนาม อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีศักยภาพด้านต้นทุนในการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จึงควรติดตามและศึกษาลู่ทางการส่งออก EV ไปยังประเทศอื่น ๆ ในอนาคตด้วย
.
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย และสถานกงสุงใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
เรียบเรียง: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
.
ที่มา:
https://www.prachachat.net/economy/news-848980