ด้านการค้าปลีก
ซุปเปอร์มาร์เก็ต Co-op หนึ่งในซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อรายหลักของสหราชอาณาจักรประกาศแผนขยายกิจการเพิ่มจำนวน ๕๐ สาขา (ปัจจุบันมีประมาณ ๒,๖๐๐ สาขาทั่วสหราชอาณาจักร) และจ้างงานเพิ่มจำนวน ๑,๐๐๐ ตำแหน่ง (ปัจจุบันมีการจ้างงานประมาณ ๕๕,๐๐๐ ตำแหน่ง) รวมถึงการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อรองรับการจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ด้วย โดยข้อมูลการสำรวจของ บ. Co-op พบว่า ผู้บริโภคที่ทำการสำรวจร้อยละ ๗๐ ยังคงนิยมซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในบริเวณใกล้บ้านในช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากส่วนหนึ่งไม่พึงพอใจต่อข้อจำกัดในการซื้อออนไลน์และการจัดส่งและอีกส่วนหนึ่งยังคงชื่นชอบประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าจริง นอกจากนี้ Tesco ได้ประกาศแผนจ้างพนังงานเพิ่มจำนวน ๑๖,๐๐๐ ตำแหน่งประจำห้างและศูนย์กระจายสินค้าเช่นกัน และล่าสุด Iceland เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกแห่งหนึ่งที่ได้ประกาศแผนจ้างพนักงาน เพิ่มจำนวน ๓,๐๐๐ ตำแหน่ง โดยเฉพาะในตำแหน่งพนังงานขับรถจัดส่งสินค้าและพนักงานบรรจุสินค้าตามรายการสั่งซื้อออนไลน์หลังจากที่ปริมาณการสั่งสินค้าออนไลน์ตลอด ๖ เดือนที่ผ่านมาเพิ่มมากขึ้นถึง ๔ เท่า
ธุรกิจออนไลน์ Amazon ประกาศเปิดรับพนักงานตำแหน่งถาวรเพิ่มขึ้นจำนวน ๗,๐๐๐ ตำแหน่ง (เมื่อรวมกับการจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้จำนวน ๓,๐๐๐ ตำแหน่ง จึงรวมเป็นการรับเพิ่มทั้งหมด ๑๐,๐๐๐ ตำแหน่งในปี ๒๕๖๓) และมีแผนจ้างพนักงานชั่วคราวเพิ่มอีก ๒๐,๐๐๐ ตำแหน่งในช่วงเทศกาลคริสมาสต์เพื่อรองรับปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่จะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉลี่ย ๓ เท่าตัว ทั้งนี้ บริษัทได้รับอานิสงส์จากช่วงการล็อกดาวน์ที่ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดกิจการชั่วคราว จึงเป็น ปจจัยกระตุ้นให้การซื้อขายออนไลน์ในเว็บ Amazon ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งก่อนหน้านี้ Amazonได้เปิดใช้ศูนย์กระจายสินค้าที่นำระบบเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Amazon Robotics) เข้ามาใช้ในการจัดเรียงสินค้าที่เมือง Darlington เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่าน มาและมีแผนเปิดศูนย์กระจายสินค้าใหม่อีก ๒ แห่งที่ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในเมือง Durham และเมือง Sutton-in-Ashfield ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้
จักรยานไฟฟ้า บ. Halfords รายงานว่า ยอดขายจักรยานไฟฟ้าและ e-scooter เพิ่มขึ้นมากกว่า ๓ เท่าตัวในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งสาธารณะ นาย Graham Stapleton หัวหน้าผู้บริหารของ Halfords ให้ข้อมูลว่ายอดขายของจักรยานในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๗๑ โดยมียอดขายคิดเป็น ๑ ใน ๓ ของยอดขายสินค้าทั้งหมดของบริษัท (เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับยอดขายของปีที่ผ่านมา) ในขณะที่ข้อมูลจากการสำรวจของ บ. Mintel (ที่ปรึกษาการตลาดของ Halfords) รายงานว่า ยอดขายจักรยานโดยรวมของปี ๒๕๖๒ มีจำนวนทั้งหมด ๒.๕ ล้านคัน มีราคาเฉลี่ยคันละ ๓๘๐ ปอนด์ในจำนวนนี้เป็นจักรยานไฟฟ้าประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ คัน ซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายโดยรวม แต่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้มากถึงร้อยละ ๔๐ นอกจากนี้ Halfords รายงานว่าความต้องการในการท่องเที่ยวภายในประเทศและการใช้ยานพาหนะมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือน ส.ค. ส่งผลให้ยอดขายของอะไหล่/อุปกรณ์รถยนต์ รวมทั้งผลประกอบการของศูนย์ซ่อมรถของบริษัท (มีทั้งหมด ๓๖๗ สาขาทั่ว สอ.) ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมด้านอื่น ๆ
ร้านอาหาร Costa Coffee ประกาศแผนเลิกจ้างพนังงานจำนวน ๑,๖๕๐ ตำแหน่ง (จากทั้งหมด ๑๖,๐๐๐ ตำแหน่ง) และยกเลิกตำแหน่งบริหารระดับผู้ช่วยผู้จัดการสาขาทั่วสหราชอาณาจักรเพื่อลดต้นทุนของบริษัท โดยบริษัทชี้แจงว่า สถานการณ์ COVID-19 ทำให้จำนวนผู้เข้าใช้บริการโดยรวมลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจการสาขาที่อยู่ในย่าน สนง. มากที่สุด เนื่องจาก ปชช. จำนวนมากยังทำงานจากบ้าน แม้ว่า รบ. สอ. ได้มีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การลดภาษี VAT และโครงการ “Eat Out to Help Out”ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ Hospitality แล้วก็ตาม แต่ปัจจัยจากความไม่แน่นอนของ สถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการจะกลับมาอยู่ในระดับเทียบเท่ากับช่วงก่อน สถานการณ์ COVID-19 ได้เมื่อใด นอกจากนี้ Pizza Hut ได้ประกาศปิดกิจการจำนวน ๒๙ สาขา (จากทั้งหมด ๒๔๔ สาขา) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพนักงานจำนวน ๔๕๐ ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร
สายการบิน บ. Virgin Atlantic ประกาศเลิกจ้างพนักงงานจำนวน ๑,๑๕๐ ตำแหน่ง เพิ่มเติมจากที่ได้ ประกาศแผนเลิกจ้างพนังงานจำนวน ๓,๕๐๐ ตำแหน่งไปแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพักงานชั่วคราวของพนังงานตามความสมัครใจ จำนวน ๖๐๐ ตำแหน่ง โดยบริษัทจะให้เงินชดเชยรายเดือนหลังจากที่มาตรการ Furlough Scheme ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรสิ้นสุดลงในเดือน ต.ค. ศกนี้ ทั้งนี้ ล่าสุด บ. Virgin Atlantic ได้รับการอนุมัติแผนฟื้นฟูบริษัท มูลค่า ๑.๒ พันล้านปอนด์ โดย บ. Delta Air Lines ซึ่งเป็นสายการบินของสหรัฐฯ ที่ถือหุ้นร้อยละ ๔๙ ของ บ. Virgin Atlantic มองว่าแผนฟื้นฟูนี้จะช่วยรักษาธุรกิจของสายการบิน Virgin Atlantic ให้ยังสามารถแข่งขันกับสายการบินคู่แข่ง ซึ่งได้แก่ บ. American Airlines และ บ. British Airways ในสหราชอาณาจักรโดยเฉพาะในตลาดสำคัญเช่น สนามบิน Heathrow ต่อไปได้
นโยบายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร
เมื่อวันที่ ๑๑ ก.ย. ๖๓ นาง Liz Truss รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศได้ประกาศผลสำเร็จของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในการจัดทำความตกลงทางการค้าสหราชอาณาจักร – ญี่ปุ่น (UK-Japan Comprehensive Economic Partnership Agreement) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าขนาดใหญ่ฉบับแรกของสหราชอาณาจักรหลังออกจาก EU มูลค่าการค้าสองฝ่ายสหราชอาณาจักร– ญี่ปุ่น คิดเป็นประมาณร้อยละ ๒ ของการค้าต่างประเทศทั้งหมดของสหราชอาณาจักร โดยจะส่งผลให้ร้อยละ ๙๙ ของสินค้าสหราชอาณาจักรที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่นจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้แก่เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรโดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์อุตสาหกรรมเทคโนโลยี อาหารและเครื่องดื่ม คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๑.๕ พันล้านปอนด์ (หรือประมาณร้อยละ ๐.๗ ของ GDP สหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ฝ่ายสหราชอาณาจักรถือว่าการจัดทำความตกลงดังกล่าวถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการปูทางไปสู่การเข้าร่วมเป็นภาคีใน Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership (CPTPP) ของสหราชอาณาจักรต่อไป อย่างไรก็ดี ผู้แทนภาคเอกชนสหราชอาณาจักร เช่น นาย Adam Marshall และนาง Carolyn Fairbairn ผู้บริหารของสภาหอการค้าสหราชอาณาจักร (British Chambers of Commerce –BCC) และสภาอุตสาหกรรมสหราชอาณาจักร (Confederation of British Industry – CBI) ตามลำดับ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่มความพยายามในการเจรจาหาข้อตกลงกับ EU ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของสหราชอาณาจักรให้เป็นผลสำเร็จด้วยซึ่งจะยิ่งช่วยให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรเติบโตและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยรายงานสภาวะเงินเฟ้อในเดือน ส.ค. 1 พบว่า อัตราเงินเฟ้อภาพรวมในสหราชอาณาจักรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ ๖ เดือน มาอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒ (ร้อยละ ๑ ในเดือน ก.ค.) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการ ช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารในโครงการ Eat Out to Help Out ของ รบ. สอ. ซึ่งจากการประมวลข้อมูลพบว่าได้ส่งเสริมให้เกิด การรับประทานอาหารนอกบ้านกว่า ๑๐๐ ล้านครั้งภายในเวลา ๑ เดือนเนื่องจากมีราคาถูกลง จึงส่งผลให้ราคาสินค้าอาหารและ ปัจจัยยังชีพอื่นลดลงประมาณร้อยละ ๒.๖ (เทียบกับเดือน ส.ค. ของปีที่แล้ว)
ภาพรวมของข่าวเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ในช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ย. สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจบางสาขา โดยเฉพาะร้านค้าปลีกและร้านอาหารมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ข้อมูลจาก บ. Barclaycard ชี้ว่า การจับจ่ายใช้สอย โดยรวมของ ปชช. ในเดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การใช้ มาตรการล็อกดาวน์โดยเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๐.๒ (และเพิ่มขึ้นจากติดลบร้อยละ ๒.๖ ในเดือน ก.ค.) โดยมีปัจจัยจากยอดขาย เสื้อผ้าและการชำระค่าบริการในผับและบาร์ที่ปรับตัวในทิศทางบวกเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน มี.ค. อย่างไรก็ดี ธุรกิจในภาค hospitality ยังคงซบเซา โดยโรงแรมและที่พักมียอดขายปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๙.๑ (บางโรงแรมที่มีราคาแพงและบริการลูกค้า ต่างชาติเป็นหลักยังคงปิดบริการ) ในขณะที่การใช้จ่ายในภาคการบินและการท่องเที่ยวลดลงมากถึงร้อยละ ๖๑ เมื่อเทียบกับ เดือน ส.ค. ๖๒
จากการศึกษาของ ONS พบว่าในเดือน ก.ค. ๖๓ เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในภาพรวมปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม โดยขยายตัวในอัตราร้อยละ ๖.๖ (แต่ยังต่ำกว่าในช่วงก่อนวิกฤต COVID-19) 2โดยนักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มของการขยายตัวของภาคธุรกิจออนไลน์และการฟื้นตัวของภาคการค้าปลีกและบริการในเดือน ก.ค. และ ส.ค. จะช่วยพยุงให้ศก. สอ. ออกจากสภาวะถดถอยในไตรมาสที่ ๓ นี้ได้แต่ในขณะเดียวกัน ความกังวลส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาสที่ ๓ – ๔ เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลสหราชอาณาจักรจะสิ้นสุดในเดือน ต.ค. ศกนี้ จึงอาจเป็นปัจจัยชะลอการฟื้นตัวเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๔ ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของ ONS3 ระบุว่า อัตราการว่างงานของสหราชอาณาจักรรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๓.๙ เป็นร้อยละ ๔.๑ ในช่วงเดือน พ.ค. – ก.ค. ๒๕๖๓ อัตราการจ้างงานโดยรวมของสหราชอาณาจักรตั้งแต่เดือน มี.ค. – ก.ค. ปรับตัวลดลงประมาณ ๖๙๕,๐๐๐ อัตรา โดยแรงงานที่มีอายุระหว่าง ๑๖ – ๒๔ ปี เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด (ถูกเลิกจ้างประมาณ ๑๕๖,๐๐๐ อัตรา)
พัฒนาการด้าน Brexit ในสัปดาห์นี้ยังไม่มีความคืบหน้าและมีบรรยากาศตึงเครียดจากการที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเสนอร่างกฎหมาย Internal Market Bill และสภาสามัญเห็นชอบในหลักการแล้วเมื่อวันที่ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๓ เพื่อเป็นมาตรการสำรอง หากเกิดกรณี No-deal Brexit และฝ่าย EU พยายามปิดกั้นการค้าเสรีระหว่างสหราชอาณาจักรกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมีนัยเป็นการละเมิดต่อพันธกรณีตามความตกลง Withdrawal Agreement (WA) ทั้งนี้ พัฒนาการของรัฐบาลสหราชอาณาจักรดังกล่าวได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการต่อต้านจากทั้งภายในสหราชอาณาจักรEU และสหรัฐฯ โดยล่าสุด EU ได้เรียกร้องให้สหราชอาณาจักรถอนร่างกฎหมายInternal Market Bill ภายในสิ้นเดือน ก.ย. ศกนี้เพื่อให้ยังสามารถเจรจาความตกลงการค้าระหว่างกันต่อไปได้ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลสหราชอาณาจักรยังไม่มีการตอบสนองใด ๆ หากสถานการณ์ยังดำเนินเช่นนี้ต่อไปก็ยิ่งทำให้โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุความตกลงระหว่างกันมีน้อยและโอกาสที่จะเกิด No-deal Brexit มีมากขึ้น แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. มาอยู่ที่ระดับ ๑ ปอนด์ ต่อ ๑.๐๗ ยูโร และที่ ๑ ปอนด์ต่อ ๑.๒๔ ดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ ๑๕ ก.ย. ๒๕๖๓)