หนึ่งในนโยบายหลักของประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ คือ การยกระดับการพัฒนาไต้หวันโดยมุ่งเน้น การเปลี่ยนผ่านจาก Silicon Island ไปสู่ AI Island เพื่อใช้ความแข็งแกร่งด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI เป็นเครื่องมือในการสร้างพันธมิตรและเป็นเกราะป้องกันไต้หวันจากการคุกคามของจีน โดยรัฐบาลไต้หวันได้ประเมินว่า การพัฒนาด้านเซมิคอนดักเตอร์ของจีนยังตามหลังไต้หวันอยู่อย่างน้อย 10 ปี ดังนั้น ข่าวการพัฒนาเทคโนโลยีของ DeepSeek จึงมีนัยสำคัญต่อไต้หวันทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
การที่ DeepSeek สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่มีคุณภาพทัดเทียมบริษัท AI ชั้นนำของโลกในสหรัฐฯ เช่น Google และ Open AI ในระยะเวลาอันสั้น โดยใช้งบประมาณไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้ชิปอัจฉริยะ (AI Chip) ไม่ถึง 2,000 ชิป ขณะที่การพัฒนาโมเดล AI ของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ ใช้ AI Chip ราว 16,000 ชิป และใช้งบประมาณมากกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หลายฝ่ายที่เริ่มตั้งข้อสังเกตถึงความจำเป็นในการใช้ชิปอัจฉริยะของ NVIDIA ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนตลาดเกือบร้อยละ 100 และชิปดังกล่าวผลิตโดยบริษัท TSMC ของไต้หวัน จึงส่งผลให้มูลค่าของบริษัท NVIDIA ในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ลดลงถึงร้อยละ 16 (ราว 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมูลค่าของบริษัท TSMC American Depository Receipts ลดลงถึงร้อยละ 13 (ราว 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 หลังจาก DeepSeek เปิดตัวระบบใหม่ไม่ถึง 1 สัปดาห์ ในระยะสั้น ยอดขายอุปกรณ์ GPUs (Graphics Processing Units) หรือหน่วยประมวลผลกราฟฟิก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ซึ่งบริษัท NVIDIA เป็นผู้ครองตลาดโลก และร้อยละ 90 ผลิตโดยบริษัทไต้หวัน รวมถึง GPUs รุ่นใหม่ล่าสุด “H100” ที่ผลิตโดยบริษัท Foxconn มีแนวโน้มปรับตัวลดลง รวมทั้งราคาต่อหน่วยของ H100 ไม่สูงขึ้นเท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจาก DeepSeek ระบุว่า ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ H100 ในการพัฒนาโมเดล AI เช่นเดียวกับบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ อื่นๆ
อีกทั้งการที่ DeepSeek กลายเป็น chatbot AI ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งทั้งบน platform ของ IOS และ Android เนื่องจากมีค่าบริการที่ถูกกว่าบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ เกือบ 100 เท่า และเป็นระบบที่เปิดให้ผู้พัฒนา AI สามารถนำผลลัพธ์จากการพัฒนาโมเดลไปขยายผลต่อได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำให้เกิดกระแสความกังวลในไต้หวันต่ออิทธิพลของจีนในโลก AI โดยมีการอ้างอิงบทความของ The Economist ที่ระบุว่า เมื่อป้อนคำถามให้ DeepSeek อธิบายเกี่ยวกับไต้หวัน โปรแกรมตอบว่า ไต้หวันเป็นหนึ่งในเอเชียตะวันออก ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Republic of China แต่ขณะที่โปรแกรมกำลังประมวลผลข้อมูลเพิ่มเติม ข้อมูลก่อนหน้ากลับถูกลบแล้วแทนที่ด้วย “Let’s talk about something else”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 กระทรวงดิจิทัลไต้หวันออกแถลงการณ์ระบุให้ข้าราชการไต้หวันทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น รวมทั้งบุคลากรที่ทำงานในสถาบันการศึกษาและองค์กรรัฐวิสาหกิจของไต้หวันทั้งหมดงดเว้นการใช้เทคโนโลยีของ DeepSeek เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล โดยการออกกฎระเบียบดังกล่าวอ้างอิงจากหลักการตามกฎหมายป้องกันความปลอดภัยด้านไซเบอร์ของไต้หวันเมื่อปี 2562 ขณะที่นักวิเคราะห์ในไต้หวันประเมินว่า การพัฒนาของ DeepSeek ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงข้อมูลเรื่องงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาโมเดล AI ในด้านเศรษฐกิจ สื่อมวลชนไต้หวันมองว่า แม้ในระยะสั้นผลกระทบต่างๆ จะส่งผลให้มูลค่าของบริษัท NVIDIA และ TSMC American Depository Receipts ลดลงก็ตาม แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว NVIDIA ยังเป็นผู้ผลิตชิปอัจฉริยะอันดับหนึ่งของโลก ประกอบกับ NVIDIA ได้ก้าวไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี AI รูปแบบใหม่ในเชิงกายภาพ เพื่อช่วยให้เครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ สามารถทำงานบนโลกความเป็นจริงได้แบบเรียลไทม์แล้ว โดยไต้หวันยังคงเป็นหุ้นส่วนสำคัญของ NVIDIA ในการพัฒนาชิปอัจริยะเพื่อรองรับการพัฒนา AI รูปแบบใหม่ต่อไป ในส่วนของมิติความมั่นคง นักวิชาการไต้หวันมองว่า การพัฒนาของ DeepSeek น่าจะกระตุ้นให้พันธมิตรด้านเทคโนโลยีในฝั่งโลกประชาธิปไตย ได้แก่ สหรัฐฯ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ต้องร่วมมือกันใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อป้องกันการก้าวขึ้นมามีบทบาทนำของจีน นอกจากนี้ การพัฒนาดังกล่าวยังเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลไต้หวันต้องเพิ่มความจริงจังในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI รวมทั้งต้องปรับการประเมินศักยภาพด้านเซมิคอนดักเตอร์ของจีนใหม่ ทั้งนี้ ไต้หวันยังคงเดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือกับบริษัท NVIDIA ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI และบ่มเพาะบุคลากรอย่างครบวงจร โดยบริษัท NVIDIA มีแผนจะตั้ง Overseas Headquarter ในไต้หวันเพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาในต่างประเทศ โดยคำนึงว่า DeepSeek พัฒนาโดย Startup รายใหม่ของจีน ในรูปแบบ open source AI ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ DeepSeek จะยิ่งมีศักยภาพและอิทธิพลมากขึ้น และเป็นหนึ่งในตัวแปรที่ท้าทายการแข่งขันของตลาด AI โลก
ข้อมูล: สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์