ค่าเงินฟรังก์สวิส (CHF) ถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในโลกตลอดช่วง 50 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วงตั้งแต่ปี 2558 ค่าเงิน CHF แข็งค่าขึ้นถึง 12–24% เมื่อเทียบกับเงินตราหลักอื่น ๆ เช่น USD, EUR, GBP, JPY และ CNY และยังมีเสถียรภาพสูงในระยะยาวเหนือกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ค่าเงินที่แข็งมักกระทบการส่งออก แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้าได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากมีจุดแข็งด้านคุณภาพสินค้าและมาตรฐานระดับโลก
ปัจจุบัน สวิตเซอร์แลนด์ส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็นกว่า 75% ของ GDP และเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นจาก 8 พันล้านฟรังก์ในปี 2549 เป็น 6.6 หมื่นล้านฟรังก์ในปี 2567 หรือประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท สินค้าหลัก เช่น นาฬิกา ยา สินค้าหรู และเคมีภัณฑ์ ต่างได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก ในขณะที่ครึ่งหนึ่งของการส่งออกเป็นสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ส่งผลให้เศรษฐกิจสวิตฯ มีความแข็งแกร่งแม้ต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน
สวิตเซอร์แลนด์ยังครองอันดับ 1 ด้านนวัตกรรมของโลกจากดัชนี GII โดย WIPO ติดต่อกันเป็นปีที่ 14 และมี GDP ต่อชั่วโมงแรงงานสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 อันดับแรกของโลกทั้งหมด ทั้งยังมีระบบเศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจและบริษัทขนาดเล็กที่เข้มแข็ง ธุรกิจสวิสจำนวนมากสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในสาขาที่ต้องใช้ทักษะสูง และมีความหลากหลายในการส่งออก ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้มี “ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ” สูงสุดในโลกโดย Harvard’s Growth Lab
นอกจากนี้ สวิตฯ ยังรักษาดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่องเฉลี่ยมากกว่า 4% ของ GDP มาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และมีการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิเกิน 100% ของ GDP ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือแรงกระแทกจากเศรษฐกิจภายนอก แตกต่างจากประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งที่มักเผชิญภาระหนี้หรือบริษัทไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในภาวะดอกเบี้ยสูง
ความมั่นคงทางการคลัง ความสามารถด้านนวัตกรรม และความหลากหลายในภาคการผลิต ทำให้สวิตเซอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็น “เศรษฐกิจแบบ all-weather” ที่สามารถเติบโตได้แม้ค่าเงินแข็งหรือเศรษฐกิจโลกซบเซา ต่างจากหลายประเทศที่พึ่งพาการลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นส่งออก ซึ่งอาจลดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพสินค้าในระยะยาว
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น