เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2566 นาย Heng Swee Keat นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้กล่าวเปิดงาน Singapore Week of Innovation and Technology (SWITCH) 2023 ที่จัดโดย Enterprise Singapore ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. – 2 พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสตาร์ทอัพที่ได้รับความสนใจอย่างมากในเอเชีย โดยนาย Heng Swee Keat กล่าวถึงการมุ่งสู่เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ของสิงคโปร์ โดยมองว่านวัตกรรมที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงและเป็นประโยชน์ในวงกว้างมักจะเกิดจาก Deep Tech อาทิ การวิจัย mRNA ของ ดร. Katalin Kariko และ ดร. Drew Weissman จนสามารถพัฒนาเป็นวัคซีนโควิด-19 และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโปรแกรม ChatGPT ที่ช่วยธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม Deep Tech ไม่สามารถประสบความสําเร็จได้โดยง่าย สิงคโปร์จึงมีแนวทางพัฒนา ระบบนิเวศสําหรับ Deep Tech แบบครบวงจรอย่างจริงจัง โดยจะดึงดูดให้สตาร์อัพด้านนวัตกรรม ธุรกิจขนาดใหญ่ นักลงทุน (venture capital) ผู้สร้างสตาร์ทอัพ (venture builder) รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ใช้จุดแข็งของกันและกันในการพัฒนานวัตกรรมให้รวดเร็วขึ้นและก้าวไปสู่ระดับ unicorn ได้
แนวทางการพัฒนา Deep Tech ของสิงคโปร์
- สิงคโปร์ตั้งเป้าหมายในการวางตําแหน่งของประเทศให้เป็นจุดเชื่อมโยงเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจ ด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียและระหว่างภูมิภาคเอเชียกับโลก
- มีการพัฒนาระบบนิเวศ Deep Tech ภายในประเทศให้กว้างขวาง ครอบคลุมและลึกซึ้งมากขึ้น โดยส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัทภายในประเทศให้เพียงพอ ทั้งนี้ ระหว่างปี ค.ศ. 2021 – 2025 รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 20% ของงบประมาณจํานวนนี้ใช้เพื่อการส่งเสริมแพลตฟอร์มนวัตกรรมและพัฒนาขีดความสามารถของนวัตกรและนักธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยปัจจุบัน สิงคโปร์ มีสตาร์ทอัพด้าน Tech กว่า 4,500 ราย มีบริษัทลงทุน (venture capital) กว่า 400 ราย และมี incubator และ accelerator กว่า 220 ราย โดยภาครัฐมีบทบาทสําคัญในการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับบริษัทเอกชน รวมทั้งพัฒนานโยบายและปรับปรุงกฎระเบียบให้ เอื้อต่อการพัฒนาและสนับสนุน Deep Tech
- การผลักดันการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – Al) ใน Deep Tech โดยหน่วยงาน Enterprise Singapore ร่วมกับ Infocomm Media Development Authority (IMDA) จะสร้าง Sandbox สําหรับ สตาร์ทอัพ Deep Tech ที่ใช้ AI ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การดําเนินธุรกิจทั้งในส่วนของโดเมน การทําตลาด การขาย และ การมีส่วนร่วมของลูกค้า เพื่อให้สามารถพัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ ภาครัฐจะช่วยสนับสนุนโดยสร้างความร่วมมือกับ Google Cloud ในการสนับสนุนเงินทุน คลาวด์เครดิต และการเข้าถึงคําปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของ Google ทั้งใน ระดับภูมิภาคและระดับโลกสําหรับสตาร์ทอัพของสิงคโปร์ โดยเฉพาะ โดยโครงการนี้จะเริ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2567
- การสร้าง Sandbox เพื่อเร่งการพัฒนา : IMDA ได้มีการประกาศเปิดตัว Generative Al Evaluation Sandbox เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์นักสร้าง” ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนภายใต้ข้อมูล ที่มีอยู่ให้เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงานได้หลากหลายประเภท ขณะนี้มีบริษัทระดับโลกเข้าร่วมโครงการแล้ว 12 ราย อาทิ Google Microsoft Anthropic เพื่อร่วมสนับสนุนผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน โดยมี IMDA เป็นผู้สนับสนุนด้าน กฏระเบียบ
แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นตลาดขนาดเล็ก แต่สามารถเป็นตัวเชื่อมในภูมิภาคและกับโลกได้ โดยสิงคโปร์ต้องการ สร้างความเชื่อมโยงเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ จึงเปิดรับความร่วมมือและการสนับสนุนด้าน การลงทุน โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ยุโรป และ ญี่ปุ่น รวมทั้งองค์กร บริษัทข้ามชาติ และผู้ลงทุนเพื่อการกุศล
นอกจากนี้ สิงคโปร์เริ่มต้นโครงการ Global Innovation Alliance ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 เพื่อเชื่อมโยงและสร้างโอกาสให้สตาร์ทอัพและนักศึกษาสิงคโปร์ สามารถเข้าถึงแหล่งพัฒนานวัตกรรมที่สําคัญทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน สิงคโปร์มีความร่วมมือกับหน่วยงานของประเทศต่าง ๆ ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง โดยล่าสุดได้ขยายความร่วมมือกับอีก 3 เมือง ได้แก่ มุมไบ ซิดนีย์ และเมลเบิร์น รวมเป็น 21 เมือง โดย Enterprise Singapore ซึ่งมีสำนักงานใน 23 ประเทศทั่วโลกจะทําหน้าที่ประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อช่วยสนับสนุน โดยมุ่งเน้นสาขา FinTech สุขภาพ และ MedTech เทคโนโลยีใน supply chain เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและปัญญาประดิษฐ์
สิงคโปร์ได้พัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพ จนปัจจุบันเป็นแหล่งรวมสตาร์ทอัพที่สําคัญและโดดเด่นในภูมิภาค และมีความพร้อมเที่จะก้าวไปสู่ Deep Tech ทั้งนี้ สิงคโปร์มองว่าระบบนิเวศสําหรับ Deep Tech ไม่สามารถสร้างโดยลําพังได้ แต่ต้องเกิดจากการร่วมกันพัฒนา สร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกันทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก
ข้อมูล : สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์