สิงคโปร์เตรียมส่งเสริมให้กลุ่มธุรกิจใช้บริการ PayNow มากยิ่งขึ้น โดยระบบ PayNow คือ ระบบการโอนเงินด้วยหมายเลขโทรศัพท์และเลขบัตรประชาชน เริ่มใช้เมื่อปี 2560 ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.4 ล้านคน และมีการทําธุรกรรมการเงินผ่านระบบนี้แล้วมูลค่ากว่า 900 ล้าน ดอลลาร์สิงคโปร์ ชาวสิงคโปร์มีความคุ้นเคยกับระบบการจ่ายเงินออนไลน์ อยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์มีเป้าหมายจะให้สิงคโปร์เป็นประเทศไร้การใช้เงินสดและเช็คภายในปี ค.ศ. 2025[su_spacer size=”20″]
ระบบ PayNow มีธนาคารในสิงคโปร์ที่เป็นเครือข่ายจํานวน 7 ธนาคาร ได้แก่ Citibank, DBS, HSBC, Maybank, OCBC Bank, Standard Chartered Bank และ UOB ล่าสุด ผู้ประกอบการสิงคโปร์ รวมถึงรัฐบาลสิงคโปร์ ได้รับอนุญาตให้รับการจ่ายเงินได้ทันที โดยไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดหมายเลขบัญชี ซึ่งส่งผลให้ระบบ PayNow สามารถขยายตัวไปสู่กลุ่มธุรกิจได้ สมาคมธนาคารแห่งสิงคโปร์ (Association of Banks in Singapore-ABS) ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 ว่า ระบบ PayNow จะมีผลใช้ได้ในหมู่กลุ่มธุรกิจในวันที่ 13 ส.ค. 2561 ตั้งแต่เวลา 8.00 น. เป็นต้นไป[su_spacer size=”20″]
นาย Ong Ye Kung รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และกรรมการบริหาร Monetary Authority of Singapore (MAS) กล่าวว่า กลุ่มผู้บริโภค/ลูกค้าชาวสิงคโปร์มากกว่า 8 ใน 10 คน มีความคุ้นเคยและใช้ระบบ e-payments และกลุ่มผู้ขาย/ผู้ประกอบการชาวสิงคโปร์เกือบ 3 ใน 5 มีระบบรองรับการจ่ายเงินแบบ e-payments ซึ่งมูลค่าของ e-payments ได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1 หมื่นล้าน ดอลลาร์สิงคโปร์ ภายใน 1 ปี ในขณะที่การ ใช้ ATM กดเงินสดมีมูลค่าลดลงมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปี โดยในปี 2558 การกดเงินสดผ่านตู้ ATM คิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าการดําเนินการผ่านระบบ e-payments แต่เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา มูลค่านี้ได้ลดลงกว่า ร้อยละ 40 ซึ่งนาย Ong กล่าวว่า สิงคโปร์มีเป้าหมายในการลดการใช้ ATM ลงให้เหลือเพียงร้อยละ 20 ภายในปี 2563 ปัจจุบัน หน่วยงานภาครัฐของสิงคโปร์กําลังหาวิธีใช้ระบบ PayNow มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการจ่ายเงินของภาครัฐ เมื่อต้นปี 2561 กระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์ได้ริเริ่มโครงการให้เงินทุน Edusave Awards แก่นักเรียนผ่านระบบ PayNow ทั้งนี้ ภายในปี 2560 นี้ จะมี พรบ. ใหม่เกี่ยวกับบริการจ่ายเงิน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคจากความเสี่ยงที่อาจขึ้นได้จากระบบ e-payments สําหรับการลดการใช้เช็คสั่งจ่ายนั้น สิงคโปร์มีระบบ FAST (Fast and Secure Transfers) ซึ่งเป็นบริการอิเล็กทรอนิกส์ให้โอนเงินระหว่างธนาคารในสิงคโปร์ได้ทันทีได้สูงถึง 50,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อวัน ซึ่งระบบ FAST ได้เข้ามาแทนที่ระบบการใช้เช็คสั่งจ่ายซึ่งต้องรอเงินเข้าธนาคารอย่างน้อย 3 วัน โดยในปี 2558 การใช้เช็คและระบบ Giro (ระบบ Giro เป็นที่นิยมในหมู่ชาวสิงคโปร์ โดยเฉพาะการทําธุรกรรม ที่ต้องดําเนินการบ่อยๆ และมีจํานวนเงินเท่าเดิม ทั้งนี้ ระบบ Giry สามารถใช้ได้ทั้งกับหน่วยงานเอกชนและหนวยงานภาครัฐสิงคโปร์) มีมูลค่าร้อยละ 37 อย่างไรก็ดี ในปี 2560 ลดลงเหลือร้อยละ 28 ซึ่งภายในปี 2563 สิงคโปร์มีแผนจะลดมูลค่าการใช้เช็คลงเหลือร้อยละ 15 และภายในปี 2568 จะทําให้สิงคโปร์เป็นสังคมไร้การใช้เช็คเหมือนที่สวีเดนทําสําเร็จมาแล้ว[su_spacer size=”20″]
อย่างไรก็ตาม นาย Ong กล่าว่า สิงคโปร์ไม่ได้ต้องการเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังเห็นว่าเงินสดมีประโยชน์ โดยผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แก่ (1) นาย Piyush Gupta ประธาน ABS และผู้บริหารระดับสูงของ DBS Group Holdings กล่าวว่า ในบางภาคส่วนของสิงคโปร์ก็ยังไม่สามารถจะเป็นสังคมไร้เงินสดได้ เนื่องจากยังมีความห่วงกังวลว่าคนบางกลุ่มในสังคม อาทิ ผู้สูงอายุ ผู้มีรายได้ต่ำ จะถูกแบ่งแยกออกจากสังคม และ (2) นาย Rohit Joshi หัวหน้าฝ่ายบริหารการเงินของธนาคาร HSBC สิงคโปร์ เห็นว่าระบบ PayNow มีประโยชน์เฉพาะบางภาคส่วนเท่านั้น เช่น ภาคส่วนที่มีการชําระเงินเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การขอเงินคืนจากบริษัทประกัน และการจ่ายค่าจ้างผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากผู้จ่ายเงินไม่จําเป็นต้องติดตามรายละเอียดของผู้รับเงิน ซึ่งข้อมูลของผู้รับเงินเหล่านี้นั้น สามารถจัดเก็บและบริหารโดยฝ่ายอื่นได้ อย่างไรก็ดี นาย Ong คาดหวังว่า ชาวสิงคโปร์จะได้ทําธุรกรรมทางการเงินผ่านเงินสดน้อยลง และใช้ ATM น้อยลง [su_spacer size=”20″]
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์