นาย Lee Hsien Loong นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “Sembcorp Tengeh Solar Farm” ฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำขนาดใหญ่แห่งแรกของสิงคโปร์ และถือเป็นหนึ่งในฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ อ่างเก็บน้ำ Tengeh ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท Sembcorp ผู้ให้บริการการแก้ปัญหาด้านพลังงาน และสำนักงานน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการสาธารณูปโภคสิงคโปร์ (National Water Agency, Public Utilities Board – PUB)
.
สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติอย่างยิ่ง จึงสนใจเรื่องการพัฒนาพลังงานทางเลือกภายในประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เคยกล่าวว่าสิงคโปร์ไม่มีพลังงานน้ำ (Hydropower) ไม่มีพลังงานความร้อนใต้พื้นพิภพ (Geothermal Energy) และไม่มีพื้นที่มาพอที่จะจัดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (Nuclear Power Plant) แต่สิงคโปร์มีพลังงานจากแสงอาทิตย์ และจะใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากที่สุด
.
สิงคโปร์ริเริ่มแนวคิดในการสร้างฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำตั้งแต่ปี 2554 เพื่อใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิอากาศที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี ประกอบกับต้นทุนของแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลง สิงคโปร์จึงพยายามใช้พื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัดติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เช่น บนหลังคาอาคารและที่ดินเปล่า แต่ยังคงขาดที่ดินขนาดใหญ่เพื่อขยายการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ แนวคิดการจัดทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำจึงเกิดขึ้น เนื่องจากช่วยให้สิงคโปร์สามารถใช้พื้นที่ผิวน้ำขนาดใหญ่ของอ่างเก็บน้ำได้อย่างเต็มที่
.
ในปี 2559 PUB ซึ่งเป็น คณะกรรมการตามกฎหมายภายใต้กระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (MSE) ได้ร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ (EDB) จัดทำเตียงทดสอบ Peak (MWp) ขนาด 1 เมกะวัตต์ที่อ่างเก็บน้ำ Tengeh ซึ่งเป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนาแห่งแรกสำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยตัว และแสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์สามารถสร้างโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำในประเทศได้ พร้อมทั้งศึกษาและทดสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมระหว่างปี 2558 ถึง 2561 ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าโดยรอบหรือคุณภาพน้ำ และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าการจัดทำฟาร์มบนชั้นดาดฟ้าทั่วไปถึงร้อยละ 15 เนื่องจากสภาพแวดล้อมในอ่างเก็บน้ำอุณหภูมิต่ำกว่า
.
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมั่นใจและมุ่งมั่นพัฒนาโครงการฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งออกแบบ สร้าง และดำเนินการโดยบริษัท Sembcorp แม้จะมีข้อจำกัดด้านกำลังคนและห่วงโซ่การผลิตอันเนื่องมาจากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อ COVID-19 แต่โครงการก็แล้วเสร็จตรงเวลาด้วยมาตรการการจัดการที่ปลอดภัยเต็มรูปแบบ โดยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฯ อย่างเป็นทางการ
.
คุณสมบัติและประโยชน์
.
ฟาร์มแสงอาทิตย์ Sembcorp Tengeh ประกอบด้วยแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 122,000 แผง บนพื้นที่ 45 เฮกตาร์ (ขนาดประมาณสนามฟุตบอล 45 สนามรวมกัน) พลังงานที่ผลิตได้จะส่งไปยังโครงข่ายไฟฟ้าของสิงคโปร์ ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายไฟฟ้าให้กับอาคารที่อยู่อาศัยของรัฐ (HDB) ขนาด 4 ห้องนอนได้ประมาณ 16,000 หลัง หรือการจ่ายพลังงานไปยังโรงงานบำบัดน้ำในท้องถิ่นเพื่อใช้ในการผลิตน้ำดื่มสะอาด จำนวน 5 แห่ง ได้อย่างเพียงพอ พลังงานที่ผลิตได้จากโครงการนี้จะช่วยชดเชยความต้องการพลังงานของ PUB ประมาณร้อยละ 7 ต่อปี
.
พลังงานที่ผลิตขึ้นจากฟาร์มฯ เป็นพลังงานสีเขียวที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอน จึงช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนใน สิงคโปร์ ได้เทียบเท่ากับจำนวนก๊าซคาร์บอนที่ปล่อยจากรถยนต์ 7,000 คัน หรือประมาณ 32 กิโลตันต่อปี ซึ่งสิงคโปร์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีระบบประปาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตน้ำสะอาดด้วยพลังงานสะอาด ร้อยละ 100 ทั้งนี้ สิงคโปร์ มีนโยบายสนับสนุนเป้าหมายระดับชาติในการเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็น 4 เท่าภายในปี 2568
.
วิทยาการและนวัตกรรมที่ สิงคโปร์ ใช้ในการปรับปรุงกระบวนการออกแบบและก่อสร้างโครงการ เช่น (1) วิศวกรของ Sembcorp ได้สร้างอุปกรณ์ที่เร่งการประกอบแผงโซลาร์เซลล์ไปยังแผงลอยได้มากถึงร้อยละ 50
.
(2) การออกแบบช่องว่างระหว่างแผงโซลาร์เซลล์เพื่อให้แสงแดดส่องผ่าน และใช้เครื่องเติมอากาศเพื่อรักษาระดับคาร์บอนไดออกไซต์ในน้ำ เป็นการลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและคุณภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (3) ทุ่นลอยน้ำผลิตขึ้นจากโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (high-density polyethylene) ซึ่งสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ทนต่อรังสียูวีและทนต่อการกัดกร่อน (4) การนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยโดรนไฟฟ้าเรืองแสงขั้นสูงมาใช้ในระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ Photovoltaic (PV) ระดับ Utility โดยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโดรน เพื่อระบุจุดบกพร่อง จะช่วยให้แก้ไขปัญหาได้แม่นยำและรวดเร็ว รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบได้ร้อยละ 30
.
ด้วยความต้องการพลังงานของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อโลกด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ทั่วโลกจึงเริ่มมองหาพลังงานสะอาดมากขึ้น และประเทศไทยเองก็ได้มีโครงการ Hydro-Floating Solar Hybrid ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นการผสมผสานการผลิตไฟฟ้าจาก 2 ทาง ทั้งโซลาร์เซลล์แบบลอยน้ำ และพลังงานน้ำจากเขื่อน โดยมีขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยแผงโซลาร์เซลล์จำนวนประมาณ 144,000 แผง บนพื้นที่ 300 เอเคอร์ และคาดว่าจะเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยทีี่ทำธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถร่วมมือกับภาคเอกชนหรือภาครัฐของสิงคโปร์ในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อนำมาพัฒนาโครงการต่อไปในประเทศ หรือร่วมกันนำองค์ความรู้ และนวัตกรรมไปพัฒนาฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำในประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอาเซียนต่อไป