จากการที่รัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้ายุติการใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปล้วน (Internal Combustion Engine – ICE) ภายในปี 2583 นั้น ภาครัฐบาลและเอกชนสิงคโปร์ต่างเร่งดำเนินการรองรับเป้าหมายดังกล่าว โดยการจัดตั้งสถานีเติมไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าในปี 2573 จำนวนสถานีเติมไฟฟ้าสำหรับ EVs ในสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 60,000 แห่ง จากในปี 2564 จำนวน 1,800 แห่ง นอกจากนี้ ในปี 2564 จำนวน EVs ในประเทศมีถึง 2,942 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.4 เท่าจากปี 2563 และรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 3.8% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด
โดยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา วิสาหกิจด้านพลังงานทั้งในสิงคโปร์และต่างประเทศดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายสถานีเติมไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย โดยคาดว่าจะมีการขยายตลาดอย่างรวดเร็ว และดำเนินไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้แก่
1) บริษัท City Energy ซัพพลายเออร์ก๊าซ ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่ม Keppel Corp. ที่รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุน ได้ร่วมมือกับบริษัทมาเลเซีย EV Connection บุกตลาดการชาร์จ EVs ด้วยการเปิดใช้แอปพลิเคชัน Go ที่ผู้ขับขี่สามารถค้นหาสถานีชาร์จไฟ กำหนดเวลาการชาร์จ และชำระเงินได้ไม่ว่าจะอยู่ในสิงคโปร์หรือมาเลเซีย ถือเป็นแอปพลิเคชันข้ามพรมแดนแห่งแรกสำหรับทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ บริษัท City Energy จะลงทุนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ คิดเป็นประมาณ 72.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถึงปี 2573 นี้ โดยเริ่มจากการติดตั้งสถานีชาร์จไฟในย่านที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ 13 แห่ง สำหรับมาเลเซีย บริษัท EV Connection จะติดตั้งสถานีชาร์จไฟในจุดที่ขนานไปกับทางพิเศษ North-South ของประเทศ โดยคาดว่าจะเติบโตเป็นประมาณ 70 แห่งภายในสิ้นปี 2565
2) บริษัท Shell กำลังเร่งสร้างเครือข่ายการชาร์จไฟรถ EVs ที่เร็วเป็นพิเศษ โดยเมื่อเดือนมกราคม 2565 บริษัทได้ติดตั้งเครื่องชาร์จขนาด 180 กิโลวัตต์ที่สถานีเติมน้ำมันทางใต้สุดของคาบสมุทรมาเลย์ ถือเป็นเครื่องชาร์จไฟที่เร็วที่สุดในภูมิภาค โดย Shell จะติดตั้งที่ชาร์จความเร็วสูง 12 เครื่องบนทางหลวงในมาเลเซีย และจะเพิ่มในไทยและสิงคโปร์อย่างเร็วที่สุดภายในสิ้นปี 2565 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าหรู (luxury car) ซึ่งสถานีที่ชาร์จไฟได้เร็วเป็นพิเศษนี้ ผู้ใช้บริการจะต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี เป็นเงิน 835 ริงกิต คิดเป็น 190 ดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มเติมจากค่าบริการชาร์จไฟปกติราคา 20 ริงกิต หรือประมาณ 4.5 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อ 5 นาที ในขณะที่ค่าบริการชาร์จไฟรถยนต์ EVs ทั่วไปมีราคาประมาณ 0.50 ดอลลาร์สิงคโปร์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง
การสนับสนุน EVs ของภาคส่วนรถรับจ้างในสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ธุรกิจบริการรถรับจ้างและจัดส่งกำลังเฟื่องฟูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปี 2564 ธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 ผู้ให้บริการต่างตระหนักถึงความสำคัญของการสัญจรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตั้งเป้าหมายที่จะปรับใช้ EVs ที่ปล่อยมลพิษต่ำให้มากขึ้น ดังนี้ 1) บริษัท Grab สิงคโปร์จะเปลี่ยนรถให้บริการในประเทศเป็น EVs ภายในปี 2573 สอดคล้องกับเป้าหมายรัฐบาลในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำเพื่อลดคาร์บอนภายในปี 2583 2) บริษัท ComfortDelGro ผู้ให้บริการแท็กซี่รายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ที่เผชิญกับต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น 10% และปรับขึ้นค่าโดยสารเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษเมื่อเดือนมีนาคม 2565 ได้ตั้งเป้าหมายว่าในปี 2565 จะเปิดตัวรถแท็กซี่ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 400 คัน และในปี 2566 ปริมาณรถแท็กซี่ไฟฟ้าจะมากถึง 1,000 คันและรถแท็กซี่แบบไฮบริดอีก 7,000 คัน และ 3) บริษัทอินโดนีเซีย GoTo ซึ่งควบรวมกิจการของสตาร์ทอัพ Gojek และ e-commerce Tokopedia เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพกลุ่มแรกในภูมิภาคที่ประกาศเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมต่อสาธารณะ โดยจะเปลี่ยนรถให้บริการในประเทศเป็นรถ EVs ภายในปี 2573 ผ่านโครงการนำร่องกับบริษัทพลังงานในท้องถิ่น TBS Energi Utama รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตรอย่างบริษัท Gogoro ผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของไต้หวันและบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น Mitsubishi Motors ด้วย
โอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย
จากการสำรวจของบริษัท Deloitte สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทยครองสามอันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจำนวนผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อรถยนต์พลังงานใหม่เป็นรถยนต์คันต่อไปสูงที่สุด แต่ความกังวลเกี่ยวกับความจุของแบตเตอรี่และการบำรุงรักษาที่ชาร์จให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การขยายการจัดตั้งเครือข่ายสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย รวมถึงการมีแอปพลิเคชันเป็นการเฉพาะ จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นและเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจและยอดขาย EVs ในภูมิภาค นอกจากนี้ สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการไทยสามารถพิจารณาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับรถไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การรีไซเคิลแบตเตอรี่ พัฒนาสายชาร์จรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มช่องทางและมูลค่าทางธุรกิจได้
ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสิงคโปร์
สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
ข้อมูลอ้างอิง