สิงคโปร์มีบทบาทชัดเจนในการผลิตตลาดคาร์บอนเครดิตโดยได้จัดสัมมนาส่งเสริมความร่วมมือด้านธุรกิจ BCG (Bio-Circular-Green) ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนการจัดตั้งสาร์ทอัพที่ทำหน้าที่ซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Procol) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2548 ถือเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อจูงใจให้ประเทศและภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสิงคโปร์ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านแผน Singapore Green Plan 2030 ที่ครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ (1) เมืองแห่งธรรมชาติ (2) การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (3) การปรับเปลี่ยนพลังงาน (4) เศรษฐกิจสีเขียว (5) อนาคตที่มั่นคง และได้ริเริ่มมาตรการภาษี คาร์บอน และอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ ใช้คาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศชดเชยการปล่อยก๊าซได้ถึงร้อยละ 5 ทั้งยังสนับสนุนนวัตกรรมสีเขียว พัฒนาทักษะแรงงาน และสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านตามกรอบ มาตรา 6 ของความตกลงปารีส เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ที่มีกลยุทธ์สำคัญคือการจัดตั้ง Climate Impact X (CIX) แพลตฟอร์มซื้อ-ขายคาร์บอน เครดิตที่ได้มาตรฐานสากล โดยมีพันธมิตรร่วมทุนอย่าง DBS, Temasek, SGX และ Standard Chartered โดย CIX ไม่ใต้มุ่งเฉพาะตลาดในประเทศ แต่ต้องการเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตระดับโลก
ความท้าทายของไทยในตลาดคาร์บอนเครดิต ที่สร้างเส้นทางสู่ความยั่งยืนยังต้องพัฒนา แม้ประเทศไทยจะเริ่มจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตมาตั้งแต่ปี 2559 และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มาตรการยังคงอยู่ในระดับ “ภาคสมัครใจ” ทำให้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมไม่มากนัก ซึ่งถือเป็นอุปสรรค ต่อการขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตอย่างเต็มที่ และยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลัก 3 ประการ ได้แก่ (1) การขาดความรู้และความเข้าใจในวงกว้าง คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความรู้เรื่องคาร์บอนเครดิตในระดับพื้นฐานหรือจำกัดในบางกลุ่ม ซึ่งอาจ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดเมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาษีคาร์บอน ในปีงบประมาณ 2568 หากไม่ได้รับการสื่อสารที่ดี ประชาชนอาจมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นการเพิ่มภาระ โดยเฉพาะต่อผู้มีรายได้น้อย (2) ระยะเวลาและความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ การเข้าร่วมตลาดคาร์บอนเครติตต้องใช้เวลาในการพัฒนาและรับรองโครงการ ซึ่งเป็นอุปสรรค สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีทรัพยากรจำกัด ทั้งนี้ ปริมาณคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจขนาดเล็กยังไม่มากพอ ที่จะนำไปซื้อขายได้คุ้มค่า ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่มักเก็บไว้ใช้เองมากกว่าปล่อยขาย (3) ขาดแหล่งทุนและแรงจูงใจจากภาครัฐ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีต้นทุน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรสนับสนุนเงินทุน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ ทางภาษี หรือแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะสำหรับ SMEs เพื่อดึงดูดผู้เล่นใหม่เข้าสู่ตลาด นอกจากนี้ ไทยควรพัฒนามาตรฐานเครดิตให้รองรับตลาดระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น ตามกฎเกณฑ์ ETS ของยุโรป
แม้ว่าสิงคโปร์จะมีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เช่น พื้นที่และแหล่งพลังงานธรรมชาติที่จำกัด แต่แนวโน้มดังกล่าว เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพด้านการ ผลิตแผงโซลาร์เซลล์หรือพลังงานหมุนเวียนในการขยายการ ลงทุนเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรให้ ความสำคัญกับการศึกษากฎระเบียบ มาตรฐาน และข้อกำหนด ของสิงคโปร์ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับ มาตรฐานสากล และเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตเพื่อรองรับ ความต้องการที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูล: สถานเอคอัครราชทูต ณ สิงคโปร์
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์