กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund – IMF) ประเมินการเติบโตล่าสุดของเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบียในปี 2561 อยู่ที่อัตราร้อยละ 2.2 เพิ่มจากปี 2560 ซึ่งอยู่ที่อัตราร้อยละ 0.9 และจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในอัตราร้อยละ 2.4 ในปี 2562 และคาดว่าการเติบโตในภาคมิใช่น้ำมัน และภาคน้ำมันจะเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่องค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of Petroleum Exporting Countries:OPEC) บรรลุข้อตกลงกับประเทศสมาชิกในการเพิ่มการผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากที่สหรัฐอเมริกา มีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน ทั้งนี้ สำนักงานพลังงานสากล (International Energy Agency – IEA) ประเมินว่า อิหร่านได้สูญเสียมูลค้าด้านการตลาดไปแล้วในขณะนี้ประมาณ 800,000 บาร์เรล/ต่อวัน [su_spacer size=”20″]
IMF ยังคาดการณ์เพิ่มเติมอีกว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดของซาอุดีอาระเบียจะเกินดุลร้อยละ 8.4 ของ GDP ในปี 2560 และร้อยละ 8.8 ในปี 2561 และเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกกลาง ในปี 2561จะขยายตัวอยู่ที่อัตราร้อยละ 2 และในปี 2562 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.5 [su_spacer size=”20″]
ทั้งนี้ หนึ่งในนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจตามวิสัยทัศน์ Saudi 2573 (ค.ศ. 2030) เพื่อกระจายแหล่งรายได้เข้าสู่ภาครัฐ คือ การนําหุ้นร้อยละ 5 ของบริษัทน้ำมัน SAUDI ARAMCO ซึ่งเป็นของรัฐและมีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2564 (เลื่อนจากกําหนดเดิมในปี 2560) ซาอุดีอาระเบียมีแหล่งรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมัน แต่ภายหลังจากมีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบียจึงมีรายได้ใหม่จากแหล่งอื่น ๆ มาทดแทนรายได้ที่สูญเสียจากน้ำมันที่ลดลงตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา อาทิ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีจากคนต่างชาติและผู้ติดตาม มาตรการยกเลิกการอุดหนุนด้านพลังงานและน้ำประปา การขึ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเกือบ 3 เท่าตัว และการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมต่าง ๆ นั้น ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ซาอุดีอาระเบียจํานวนมหาศาล ตัวอย่างเช่น รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ตั้งเป้าเฉพาะการจัดเก็บภาษีจากคนงานต่างชาติในปี 2560 ประมาณ 1 พันล้านริยาล (ประมาณ 8.5 พันล้านบาท) ในปี 2561 เพิ่มเป็น 24 พันล้านริยาล ในปี 2562 เพิ่มเป็น 44 พันล้านริยาล และในปี 2563 เพิ่มเป็น 65 พันล้านริยาล ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากการจัดเก็บภาษีประเภทอื่น ๆ อีกหลายรายการ [su_spacer size=”20″]
ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันโลกเริ่มขยับสูงขึ้นที่ราคาบาเรลละ 80 กว่าดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทําให้รายได้ของซาอุดีอาระเบีย จากน้ำมันกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ประกอบกับเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซาอุดีอาระเบียมีแผนขยายอัตรากําลังการผลิตน้ำมันหลังจากที่ได้พบแหล่งน้ำมันแห่งใหม่ 2 แห่ง ในภาคตะวันออกของประเทศ [su_spacer size=”20″]
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมซาอุดีอาระเบียเปิดเผยว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีแผนจะขยายโครงการบริการด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่ต่าง ๆ 10 แห่ง และจะดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันการลงทุนด้านโลจิสติกส์ในซาอุดีอาระเบีย มีมูลค่าประมาณ 65 พันล้านริยาล และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 70 พันล้านริยาลในปี 2563 ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจซาอุดีอาระเบีย [su_spacer size=”20″]
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2561 กษัตริย์ Salman bin Abdulaziz ได้เห็นชอบข้อเสนอของเจ้าชาย Muhammad bin Salman (MBS) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้มีการขึ้นเงินเดือนประจําปีให้แก่ข้าราชการพลเรือนและทหารตั้งแต่ต้นปี 2562 ซึ่งนับเป็นการขึ้นเงินเดือนประจําปีเป็นปีที่ 2 ภายหลังจากที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้มีคําสั่งให้ระงับการขึ้นเงินเดือนประจําปี 2560 แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งประเทศสืบเนื่องจากปัญหาด้านการเงินที่เป็นผลพวงมากจากวิกฤตทางเศรษฐกิจเสมือนรัฐบาลซาอุดีอาระเบียพยายามจะสะท้อนให้เห็นว่า ด้วยนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ Saudi 2573 ได้ทําให้ซาอุดีอาระเบียกลับมาฟื้นตัวได้แล้ว [su_spacer size=”20″]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด