ในปี 2017 เจ้าชาย Mohammed Bin Salman มกุฎราชกุมาร ได้เปิดตัวโครงการ Red Sea Project โดยถือเป็นหนึ่ง ในโครงการ giga project ของซาอุดีอาระเบีย ที่จะพัฒนาหมู่เกาะริมชายฝั่งทะเลแดงในมณฑล Tabouk ซึ่งห่างจากเมืองเจดดาห์ไปทางตอนเหนือประมาณ 500 กิโลเมตร และอยู่ใกล้กับเมืองมรดกโลก Alula ให้กลายเป็น “Luxury resort destination” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศ
.
หมู่เกาะดังกล่าวมีขนาดใหญ่กินพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งความยาวกว่า 200 กิโลเมตร ประกอบด้วย เกาะน้อยใหญ่กว่า 90 แห่ง ซึ่งเป็นเกาะที่ยังคงความเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์ เนื่องจากไม่เคยมีผู้อยู่อาศัยมาก่อน ขณะที่พื้นที่บนฝั่งมีสภาพแวดล้อมที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยป่าโกงกาง ภูเขาไฟ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลทรายหายากหลายชนิด ด้วยเหตุนี้ โครงการจึงตั้งเป้าที่จะพัฒนา Red Sea Project ในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นจุดขายของธรรมชาติใต้ท้องทะเลและบนฝั่ง ซึ่งจะผนวกเข้ากับกีฬาสมัยใหม่ เช่น การดําน้ํา การปีนเขา กีฬาผาดโผนประเภทต่าง ๆ
.
โครงการนี้ตั้งเป้าเปิดตัวเฟสแรกภายในปลายปี 2022 ซึ่งจะประกอบด้วยรีสอร์ทและที่อยู่อาศัย 14 แห่งบน 5 เกาะ และ 2 เขตบนฝั่ง พร้อมด้วยสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ และมีกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2030 ซึ่งจะประกอบด้วยโรงแรม 50 แห่ง จํานวน 8,000 ห้อง และที่อยู่อาศัย 1,300 ยูนิต กระจายตัวอยู่ใน 22 เกาะ และ 6 เขตบนฝั่ง ซึ่งจะพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวสูงสุด 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะเป็นจํานวนสูงสุดที่จะให้การต้อนรับเพื่อมิให้สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่ และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้ตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในโครงการด้วย
.
Red Sea Project มีวัตถุประสงค์สูงสุดเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้กลายมาเป็นเครื่องยนต์สําคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ 10 ของ DGP ให้สามารถลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมน้ํามันดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าว่าในระยะสั้น การก่อสร้างโครงการจะก่อให้เกิดการจ้างงานกว่า 70,000 ตําแหน่ง และเพิ่ม GDP ให้แก่ประเทศกว่า 1 แสนล้านริยาล ขณะที่เป้าหมายระยะยาวจะเพิ่ม GDP ให้แก่ประเทศปีละกว่า 1.5 หมื่นล้านริยาล และจะเกิดการจ้างงานกว่า 35,000 ตําแหน่ง
.
ในปี 2018 ซาอุดีอาระเบีย ได้ก่อตั้งบริษัท The Red Sea Development Company (TRSDC) ขึ้นเพื่อ ขับเคลื่อนโครงการ โดยมี Public Investment Fund (PIF) ของซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด และมี MBS นั่งเป็นประธานโดยตําแหน่ง รวมทั้งยังมีผู้ว่าการ PIF และรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีมัลดีฟส์ ดํารงตําแหน่งเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารด้วย (โครงการนี้มีชื่อเล่นว่าเป็นมัลดีฟส์แห่งซาอุดีอาระเบีย) อย่างไรก็ดี ภาระการบริหารจัดการที่แท้จริงจะตกอยู่กับนาย John Pagano ที่ดํารงตําแหน่ง CEO ซึ่งจะทํางานร่วมกับทีมงานชั้นนําจากทั่วโลก เช่น บริษัท Wimberty Alison Tong & G00 สัญชาติสหรัฐฯ ที่รับผิดชอบด้านการออกแบบ และ บริษัท Buro Happold สัญชาติอังกฤษ ที่ดูแลงานด้านวิศวกรรม โดยโครงการได้เริ่มการก่อสร้างจริงนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
.
John Pagano ผู้บริหารสูงสุดของโครงการ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนเมษายน และ พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่าไวรัสโควิด-19 ทําให้บริษัทต้องลดจํานวนคนงานลงกว่าร้อยละ 60 แต่ยังคงมีการดําเนินการต่าง ๆ อยู่ โดยมีการลงนามในสัญญาว่าจ้างที่เกี่ยวข้องไปแล้วกว่า 500 ฉบับ รวมมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 70 ของสัญญาทํากับบริษัทสัญชาติซาอุดีอาระเบีย) ซึ่งจะทําให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวคนแรกได้ตามเป้าหมายภายในปีหน้า ภายหลังจากที่การก่อสร้าง สนามบิน 1 แห่ง และโรงแรม 3 แห่งแล้วเสร็จ อย่างไรก็ดี เป้าหมายทั้งหมดของโครงการในเฟสแรกที่จะประกอบด้วยโรงแรม 14 – 16 แห่ง จํานวนประมาณ 3,000 ห้อง พร้อมด้วยศูนย์การค้าและสิ่งอํานวยความสะดวก อาจต้องเลื่อนกําหนดการแล้วเสร็จออกไปในปี 2023 แทน ซึ่งจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ปีละ 3 แสนคน
.
ในด้านความคืบหน้าทางการเงิน แม้ TRSDC จะมี PIF ซึ่งมีเงินทุนจํานวนมหาศาลเป็นผู้ถือหุ้นหลัก แต่ในระยะหลัง เงินลงทุนของโครงการกลับไม่ได้มาจาก PIF โดยตรงดังเช่นโครงการเรือธงอื่น ๆ ของประเทศ โดย TRSDC ได้เปิดเผยเมื่อเดือนเมษายน ว่าสามารถกู้เงินจํานวน 3.76 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคาร 4 แห่ง ได้แก่ Banque Saudi Fransi, Riyad Bank, Saudi British Bank และ Saudi National Bank เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงแรม 14 แห่ง
.
ในด้านความคืบหน้าทางโครงสร้างพื้นฐาน TRSDC ได้ทําสัญญากับ ACWA Power บริษัทพลังงานสัญชาติซาอุดีอาระเบีย ที่ผลิตไฟฟ้าและกลั่นน้ําจืดจากทะเล เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โดย ACWA Power ได้ระดมทุนจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ เช่น Standard Chartered Bank และ Silk Road Fund ของจีน เพื่อผลิตไฟฟ้า 6.5 แสน MWh (1 MWh เพียงพอสําหรับบ้าน 300 หลัง ใน 1 ชั่วโมง) โดยจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งในเฟสแรกจะเริ่มต้นการผลิตพลังงานที่ 210 MW ก่อน โดย TRSDC จะใช้วิธีการซื้อไฟฟ้าจาก ACWA Power ในระยะยาว เป็นเวลา 25 ปี
.
ในด้านความคืบหน้าทางสิ่งก่อสร้างที่สําคัญอื่น ๆ ได้แก่
.
(1) การก่อสร้างโรงแรม 2 แห่ง ซึ่ง TRSDC ได้ทำการว่าจ้าง บริษัท Al-Bawani สัญชาติซาอุดีอาระเบีย ให้รับผิดชอบการก่อสร้าง “hotel villa” จํานวน 40 หลังบนฝั่งทางตอนใต้ และ Blumer Lehmann สัญชาติสวิส สําหรับก่อสร้างโรงแรมบนเกาะ Ummahat AL-Shaykh
(2) การก่อสร้างสะพานความยาว 1.2 กิโลเมตร ที่จะเชื่อมระหว่างเมืองบนฝั่งกับเกาะหลักที่ชื่อ Shurayrah เกาะที่มีแนวปะการังใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดย TRSDC ได้ลงนามสัญญากับ บริษัท ARCHIRODON สัญชาติดัตช์ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน เพื่อดําเนินโครงการ และ
(3) การก่อสร้างเขตที่อยู่อาศัยที่จะรองรับผู้อยู่อาศัย 14,000 คน สําหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยมีกําหนดแล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งในปัจจุบัน มีคนงานก่อสร้างดําเนินงานอยู่ในพื้นที่กว่า 7,000 คน โดยครึ่งหนึ่งเป็นชาวซาอุดีอาระเบีย
.
เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าชาย Mohammed Bin Salman ยังได้เปิดตัวโครงการ “Coral Bloom” ขึ้นเพิ่มเติม บนเกาะ Shurayrah โดยโครงการ Coral Bloom จะประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ท 11 แห่ง ที่จะดําเนินการโดยแบรนด์โรงแรมชั้นนําจากทั่วโลก และจะมีสิ่งอํานวยความสะดวกบนเกาะไม่ว่าจะเป็นศูนย์นันทนาการ สนามกอล์ฟ ฯลฯ ซึ่งตั้งเป้าให้โครงการนี้เป็น “Gateway to The Red Sea Project” ผ่านการออกแบบโครงการที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยบริษัท Foster และพันธมิตรสัญชาติอังกฤษ
.
นอกจากนี้ PIF ยังได้เผยข้อมูลน่าสนใจของโครงการว่า พื้นที่ทั้งหมดของ โครงการจะใช้กฎหมายพิเศษที่เป็นสากลในการปกครอง ซึ่งทําให้เชื่อได้ว่านโยบายดังกล่าวนี้จะเป็นรากฐานสําคัญที่จะทําให้เมืองใหม่นี้ สามารถอยู่นอกเหนือกฎระเบียบทางสังคมที่เคร่งครัดของซาอุดีฯ โดยเฉพาะเรื่องของการขายเครื่องดื่มมึนเมา การแต่งกายแบบตะวันตก และการปะปนกันระหว่างชายหญิง ซึ่งเป็นส่วนสําคัญที่จะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว ในโครงการนี้
.
หากโครงการนี้สามารถดําเนินการได้สําเร็จในอนาคต จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆได้ และจะผลิกโฉมภาพลักษณ์ของภาคตะวันตกของซาอุดีอาระเบียไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในขณะเดียวกันก็จะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยอย่างมหาศาลในหลายสาขา ทั้งภาคการก่อสร้าง ภาคการบริการ ความร่วมมือทางธุรกิจ การศึกษา การท่องเที่ยว การอนุรักษ์วัฒนธรรม และการส่งออกสินค้าไปยังซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะ สินค้าอาหารฮาลาล อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์และประดับยนต์ และข้าว ที่กำลังเป็นที่นิยมในการนำเข้าจากไทย โดยจะสามารถเติมเต็มความต้องการของนักท่องเที่ยวจากหลากเชื้อชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
.
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์
.
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.thaiquote.org/content/239343