โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่ติดต่อกับไทยในสมัยอยุธยาในช่วงศตวรรษที่ 16 ที่มีความสัมพันธ์ทวิภาคีกว่า 514 ปี อย่างราบรื่น ซึ่งโปรตุเกสเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด จึงความร่วมมือกับประเทศที่มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ได้แก่ ประเทศเพื่อนบ้านใน EU และประเทศอดีตอาณานิคมของตน เช่น บราซิล อังโกลา ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของโปรตุเกต ข้อมูลการค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.58 รวม 25.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 14.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11) และ นำเข้า 11.04 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งไทยยังได้ดุลการค้า 12.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โปรตุเกสถือเป็นถือเป็นคู่ค้าลำดับที่ 69 ของไทย มีสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ อุปกรณ์ส่วนประกอบรถยนต์ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ ผลิตภัณฑ์จากยางพารา เม็ดพลาสติก และสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพ ได้แก่
1. สินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 318 ได้แก่ เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์รักษาผิว
2. สินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 157 ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง
3. สินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 144 ได้แก่ เครื่องดื่ม
4. สินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ได้แก่ ข้าว
ในมุมโปรตุเกส ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 52 โดยมีสินค้าสำคัญที่ส่งออกมายังไทย ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม
นอกจากนี้การลงทุนต่างของไทยในโปรตุเกสนั้นมีความก้าวหน้าอย่างมาก อาทิ (1) บริษัทไทยยูเนียน ซื้อกิจการโรงงานผลิตปลากระป๋องที่เมือง Peniche ผลิตปลาซาร์ดีนและปลาแมกเคอเรลกระป๋องส่งออกไปขายในหลายประเทศในยุโรปภายใต้ชื่อแบรนด์ที่หลากหลาย เช่น John West (2) บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นนอล จำกัด (มหาชน) ซื้อกิจการโรงแรมในกลุ่ม Tivoli ซึ่งเป็นโรงแรมระดับห้าดาว จำนวน 17 แห่ง (3) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ซื้อโรงงานรีไซเคิลพลาสติก Surplaste ที่เมือง Leiria (4) บริษัท Appico ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานต์ไทยรายสำคัญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าซื้อกิจการโรงงานในโปรตุเกส เพื่อขยายฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่เมือง Maia นอกจากนี้ ในด้านบริการ ร้านอาหารไทยเป็นที่นิยมในโปรตุเกส โดยในปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในกรุงลิสบอนประมาณ 10 ร้าน และยังมีร้านอาหารไทยตามเมืองสำคัญ เช่น ซินทรา ปอร์โต อัลกราฟ อีกทั้งยังยังมีร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai Select รวม 4 ร้านอีกด้วย
ในปี 2568 นั้น เศรษฐกิจของโปรตุเกสคาดว่า GDP จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างร้อยละ 1.9 – 2.4 เงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.3 – 2.4 มีปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนได้แก่ อุปสงค์ภายในประเทศ การลงทุนของภาครัฐที่สำคัญ ได้แก่ การจัดการโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการภายใต้แผนงาน Recovery and Resilience Programme (RRP) ของ EU ที่ยังเหลือวงเงิน 16,000 ล้านยูโร ให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ได้ถึง 1,020 ยูโรต่อเดือนภายในปี 2571 ส่วนภาคเศรษฐกิจที่สำคัญยังคงเป็นภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวเยือนโปรตุเกส 33 ล้านคน เนื่องจากการท่องเที่ยวทั่วโลกได้ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แนวโน้มที่อาจส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโปรตุเกส – ไทย ให้ไปในทิศทางดีในอนาคต ได้แก่ (1) การรักษาพลวัตของกลไกการหารือภาพรวม ได้แก่ การผลักดันการจัดการประชุม Political Dialogue ครั้งที่ 3 โดยมีโปรตุเกสเป็นเจ้าภาพ (2) การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาในระดับไตรภาคีระหว่างไทย – โปรตุเกส – ประเทศที่สาม (3) การส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเทศไทย ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น เทศกาลไทย และการ outreach ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งตลาดนักท่องเที่ยวโปรตุเกสเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและเป็นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพถึงแม้ว่าจะยังไม่มีเที่ยวบินระหว่างกัน (4) การอำนวยความสะดวกในการลงตรวจตรา เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นมิตรและความรู้สึกประทับใจในการเดินทางมายังประเทศไทย ได้แก่ การพิจารณาเพิ่มภาษาโปรตุเกสในระบบการยื่นเอกสารการตรวจลงตรา (Visa) ออนไลน์ เนื่องจากมีประชากรจำนวน 260 ล้านคนที่ใช้ภาษาโปรตุเกส ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก รวมไปถึงการเร่งรัดการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางการทูต ราชการและหนังสือเดินทางพิเศษ ไทย – โปรตุเกสอีกด้วย
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิสบอน
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์