เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ธนาคารกลางไนจีเรียได้ประกาศแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 ว่า GDP ของไนจีเรียจะเติบโตที่ร้อยละ 4.17 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิรูปทางการเงินและการคลังที่เริ่มเห็นผล รวมถึงเสถียรภาพของราคาน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายและความเสี่ยงอยู่ รัฐบาลไนจีเรียจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน
นาย Muhammad Abdullahi รองผู้ว่าการธนาคารกลางไนจีเรียเน้นย้ำถึงความสำคัญของเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงเหลือร้อยละ 15 ในปี 2568 จากร้อยละ 34.8 ในเดือนธันวาคม 2567 นอกจากนี้ รัฐบาลไนจีเรียกำลังดำเนินนโยบายกระจายแหล่งรายได้และลดการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจน้ำมัน โดยธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อีกทั้ง นาย Abdullahi กล่าวว่า นโยบายของธนาคารกลางของไนจีเรียที่มุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภาคการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุน SMEs และภาคส่วนอื่นๆ เนื่องจาก SMEs เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไนจีเรีย และการสนับสนุน SMEs จะช่วยสร้างงานและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลไนจีเรียยังมุ่งเน้นไปที่การกระจายแหล่งรายได้และลดการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนสูง การปฏิรูปภาษีก็เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญ เนื่องจากการขยายฐานภาษีและการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีจะช่วยให้ฐานะทางการคลังของไนจีเรียมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้ ช่วงสิ้นเดือนกันยายน 2567 หนี้สาธารณะของไนจีเรียอยู่ที่ 46.25 ล้านล้านไนรา เพิ่มขึ้น 1.9 ล้านล้านไนรา จากเดือนมิถุนายน 2567 สาเหตุหลักมาจากการกู้ยืมภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน แม้คาดการณ์ว่า GDP ปี 2568 จะเติบโต แต่ไนจีเรียยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ อาทิ ราคาพลังงาน ความไม่แน่นอนทางการเมือง การทุจริต การว่างงาน และความยากจน การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเกษตรกรรม ทรัพยากรมนุษย์ การท่องเที่ยว การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การปราบปรามการทุจริต การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคพลังงาน และการส่งเสริมการค้าภายในประเทศ