คณะกรรมการน้ำเป็นหนึ่งในหน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ โดยมีความรับผิดชอบหลักในการป้องกันน้ำท่วม ผ่านการดูแลแนวป้องกันน้ำท่วมหลัก เช่น เขื่อน สันทราย สถานีสูบน้ำและโครงการพื้นฐานขนาดเล็ก เพื่อควบคุมระดับน้ำทั่วประเทศ นอกจากนั้น ยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการคุณภาพน้ำ โดยการบำบัดน้ำเสียจากครัวเรือนและธุรกิจผ่านโรงบำบัดน้ำเสีย การป้องกันภัยแล้ง และการรับมือกับการรุกล้ำของน้ำเกลือในพื้นที่ชายฝั่ง โดยคณะกรรมการน้ำเนเธอร์แลนด์ แบ่งออกเป็น 21 เขตน้ำที่ดูแลพื้นที่ต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์ โดยสมาชิกคณะกรรมการน้ำจะได้รับเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี พร้อมกับการเลือกตั้งสภาจังหวัด ผู้ที่อาศัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์และมีอายุครบ 18 ปีขึ้นไปสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ โดยสมาชิกคณะกรรมการน้ำแต่ละแห่งมีจำนวน 18 – 30 คน ซึ่งจะมีทั้งตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งและตำแหน่งที่สงวนไว้สำหรับตัวแทนของภาคเกษตรและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการของคณะกรรมการน้ำเนเธอร์แลนด์มาจากการจัดเก็บภาษี โดยภาษีสำคัญได้แก่ ภาษีระบบน้ำ ซึ่งใช้ในการป้องกันน้ำท่วม เช่น การสร้างและการบำรุงรักษาเขื่อน และอ่างเก็บน้ำ ภาษีการบำบัดน้ำเสีย (Zuiveringsheffing) และภาษีมลพิษ ที่ช่วยลดมลพิษในน้ำ ภาษีเหล่านี้จะถูกเก็บทุกปี โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปในแต่ละเขตน้ำ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความท้าทายในการจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่
ในปี 2568 คณะกรรมการน้ำมีความต้องการงบประมาณทั้งหมด ประมาณ 4.2 พันล้านยูโร (เพิ่มขึ้นจาก 3.95 พันล้านยูโรในปี 2567) โดยงบประมาณทั้งหมดจะแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ ค่าธรรมเนียมระบบน้ำ 2.3 พันล้านยูโร (เพิ่มขึ้นจาก 2.115 พันล้านยูโร ในปี 2567) แลำค่าธรรมเนียมการบำบัดน้ำเสีย 1.949 พันล้านยูโร (เพิ่มขึ้นจาก 1.822 พันล้านยูโรในปี 2567) การขึ้นภาษีเนื่องจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ในตกหนักและช่วงเวลาที่ฝนแล้งยาวนานขึ้น และต้นทุนการบำบัดน้ำเสียสูงขึ้น เนื่องจากมีสารปนเปื้อนเพิ่มขึ้น เช่น สารตกค้างจากยา อันเป็นผลจากการที่ประชาชนมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งภาษีน้ำในแต่ละพื้นที่ของเนเธอร์แลนด์ มีอัตราที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น มูลค่า WOZ (ราคาประเมินของบ้านที่เทศบาลเป็นผู้ประเมิน) และจำนวนสมาชิกในแต่ละครัวเรือน โดยคณะกรรมการน้ำแบ่งผู้เสียภาษีออกเป็น ครัวเรือน เจ้าของที่ดินที่มีสิ่งปลูกสร้าง ผู้ถือครองพื้นที่การเกษตร และผู้ที่ถือครองพื้นที่ธรรมชาติ ครัวเรือนที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ต้องจ่ายภาษีตามมูลค่าตลาดของทรัพย์สิน ซึ่งหมายความว่าบ้านที่มีราคาประเมินสูงกว่าจะต้องเสียภาษีมากกว่าบ้านที่มีราคาประเมินต่ำ นอกจากนี้ บ้านที่มีสมาชิกหลายคนต้องเสียภาษีมากกว่าบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียว นอกจากนี้ คณะกรรมการน้ำยังกำหนดอัตราภาษีตามความหนาแน่นของประชากรในพื้นที่ โดยพื้นที่ที่มีประชากรน้อยจะมีอัตราภาษีต่อคนสูงกว่า เนื่องจากต้องหารค่าใช้จ่ายในกลุ่มประชากรที่น้อยกว่า โดยอัตราภาษีในพื้นที่ชนบทที่มีประชากรเบาบางมักสูงกว่าพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น เนื่องจากสามารถกระจายภาระภาษีไปยังประชากรจำนวนมากกว่า ตัวอย่างเช่น บ้านอยู่กันหลายคน ถ้าตั้งอยู่ที่จังหวัด Friesland อาจต้องจ่ายภาษีน้ำ ปีละ 679 ยูโร ในขณะที่บ้านแบบเดียวกัน ตั้งอยู่ในจังหวัด Noord-Brabant อาจจะจ่ายภาษีน้ำแค่ปีละ 473 ยูโร โดยตั้งแต่ปี 2561เป็นต้นมา ภาษีน้ำทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 41 โดย คณะกรรมการน้ำ Waterschap Amstel และ Gooi en Vecht ซึ่งครอบคลุมนครอัมสเตอร์ดัม ขึ้นภาษีสูงสุดถึงร้อยละ 78
ทั้งนี้ผลกระทบจากการเก็บภาษี คือ เจ้าของบ้านจะจ่ายภาษีน้ำเฉลี่ย 465 ยูโรต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 413 ยูโรต่อปี ในปี 2024 ผู้เช่าบ้านจะต้องจ่ายภาษีน้ำเฉลี่ย 188 ต่อปี (เพิ่มขีน 20 ยูโร) ในปัจจุบัน ภาคครัวเรือนต้องรับภาระภาษีร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดของ คณะกรรมการน้ำ ขณะที่ธุรกิจและภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบน้อยกว่า ความเหลื่อมล้ำนี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นธรรมของระบบภาษี ทำให้สมาคมเจ้าของบ้านแห่งเนเธอร์แลนด์ (VEH) และองค์กรอื่น ๆ ได้เรียกร้องให้มีการกระจายภาระภาษีอย่างเป็นธรรมมากขึ้น โดยเสนอให้ปรับโครงสร้างภาษีเพื่อให้ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมรับผิดชอบมากขึ้น รวมถึงการกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันตามประเภทของอาคารและรายได้ของผู้เสียภาษี ซึ่งในระยะยาว แนวโน้มของปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม อาจทำให้ภาษีน้ำเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เช่น ทำให้ต้นทุนของธุรกิจและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์