Friday, May 23, 2025
  • Login
  • Register
  • Home
  • เกี่ยวกับเรา
  • ทันโลก
    • เศรษฐกิจ I การเงิน
    • ธุรกิจ I การค้า I การลงทุน
    • การท่องเที่ยว I การบริการ
    • อาหาร I การเกษตร
    • คมนาคม I โลจิสติกส์
    • การแพทย์ I สุขภาพ
    • พลังงาน I สิ่งแวดล้อม I ความยั่งยืน
    • เทคโนโลยี I นวัตกรรม
    • E-commerce
    • กฎ I ระเบียบ I นโยบาย
    • อื่นๆ
    • INFOGRAPHICS
  • Glob Issue
  • ชี้ช่องจากทีมทูต
  • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • Thai Festival
  • รู้กฎก่อนรุก
    • ความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างประเทศ
  • Glob Insight
  • INTER ECON
  • เครือข่ายของเรา
    • GT Network
    • ลิงค์ที่น่าสนใจ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
Glob Thailand
  • Home
  • เกี่ยวกับเรา
  • ทันโลก
    • เศรษฐกิจ I การเงิน
    • ธุรกิจ I การค้า I การลงทุน
    • การท่องเที่ยว I การบริการ
    • อาหาร I การเกษตร
    • คมนาคม I โลจิสติกส์
    • การแพทย์ I สุขภาพ
    • พลังงาน I สิ่งแวดล้อม I ความยั่งยืน
    • เทคโนโลยี I นวัตกรรม
    • E-commerce
    • กฎ I ระเบียบ I นโยบาย
    • อื่นๆ
    • INFOGRAPHICS
  • Glob Issue
  • ชี้ช่องจากทีมทูต
  • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • Thai Festival
  • รู้กฎก่อนรุก
    • ความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างประเทศ
  • Glob Insight
  • INTER ECON
  • เครือข่ายของเรา
    • GT Network
    • ลิงค์ที่น่าสนใจ
  • ติดต่อเรา
No Result
View All Result
No Result
View All Result
Home ทันโลก

Rabobank วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของอาเซียนจากวิกฤตการณ์ COVID-19

02/06/2020
in ทันโลก, ยุโรป
0
Rabobank วิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของอาเซียนจากวิกฤตการณ์ COVID-19
9
SHARES
158
VIEWS
Share on FacebookShare on TwitterShare on Line

Rabobank เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเนเธอร์แลนด์ (ในแง่มูลค่าสินทรัพย์) โดยให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของเนเธอร์แลนด์บนหลักการของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นการให้ความสำคัญต่อ 1) การพัฒนาและกักเก็บน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการเกษตร 2) สร้างธุรกิจที่มุ่งลดปริมาณปล่อยก๊าซ เรือนกระจกให้อยู่ระดับต่ำ 3) ลดปริมาณของเสีย และ 4) นำระบบดิจิทัลมาใช้ในการภาคการเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ Rabobank เล็งเห็นความสำคัญของเอเชีย (โดยเฉพาะจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และอาเซียน) ในฐานะที่เป็นแหล่งสำคัญในการผลิต อาหารของโลกและมีประชากรจำนวนมาก โดยได้จัดทำความร่วมมือกับสถาบันทางการเงินท้องถิ่นในหลายประเทศ อาทิ จีน และอินเดีย

[su_spacer]

ด้วยธนาคารฯ มุ่งเน้นให้บริการทางการเงินแก่ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม อาหาร และบริการทางการเงินที่มีความยั่งยืน ได้ออกรายงานเมื่อ 19 พฤษภาคม 2563 วิเคราะห์ผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจอาเซียนในภาพรวม และผลกระทบต่อธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของอาเซียน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

[su_spacer]

ปัจจัยพื้นฐานการวิเคราะห์

[su_spacer]

แม้ชื่อของรายงานจะระบุผลกระทบต่ออาเซียน (How COVID-19 will impact ASEAN) แต่เนื้อหาของรายงานมุ่งเน้นผลกระทบต่อประเทศสมาชิกอาเซียนเพียง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม บนพื้นฐานของผลสำเร็จในการรับมือกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความแตกต่างกันในภูมิภาค กลุ่มที่หนึ่ง คือ ประเทศที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย และกลุ่มที่สอง คือ ประเทศที่เริ่มควบคุมการแพร่ระบาดได้ ได้แก่ เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย และผลวิเคราะห์ของรายงานอยู่บนสมมติฐานว่า ทุกประเทศสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้และระบบสาธารณสุขยังมีศักยภาพที่เพียงพอต่อการรับมือ (โดยเพ่งเล็งอินโดนีเซียซึ่งอยู่ในฐานะที่สุ่มเสี่ยงและอาจนำมาซึ่งผลการวิเคราะห์ที่แตกต่างออกไป เนื่องจากอินโดนีเซียมีการตรวจสอบจำนวนผู้ติดเชื้อที่จำกัดและมีจุดอ่อนเรื่องระบบสาธารณสุข หากรัฐบาลอินโดนีเซียใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นหรือยาวนานขึ้น ระบบเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่บทวิเคราะห์นี้ได้คาดการณ์ไว้)

[su_spacer]

แนวโน้มผลกระทบทางเศรษฐกิจ 

[su_spacer]

ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนจะประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากผลกระทบต่อ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การส่งออก ซึ่งสิงคโปร์และเวียดนามจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก 2) การท่องเที่ยวฟิลิปปินส์และไทย จะได้รับผลกระทบหนัก และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะยังคงซบเซาจนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนได้เป็นผลสําเร็จ ซึ่งคาดว่าการใช้วัคซีนอย่างเร็วที่สุด จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 และ 3) อุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มงวดและระยะเวลาที่นำมาตรการมาบังคับใช้ โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เนื่องจากบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวด

[su_spacer]

การคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2563

[su_spacer]

อินโดนีเซีย คาดว่าตัวเลข GDP จะไม่ติดลบ เนื่องจากเศรษฐกิจของอินโดนีเซียไม่เปิดกว้างนักและไม่พึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลัก รวมถึงมิได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ประกอบกับอินโดนีเซียนำเข้าน้ำมันจำนวนมาก (ร้อยละ 17 ของการใช้ภายในประเทศ) ด้วยราคาน้ำมันที่ถูกลง จึงลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้า (อย่างไรก็ดี การคาดการณ์ตัวเลข GDP อยู่บนเงื่อนไขที่ว่า สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้)

[su_spacer]

มาเลเซีย ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดและเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ โดยเฉพาะน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าที่ทำรายได้หลักให้ประเทศ (ประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) จึงคาดว่า GDP ของมาเลเซีย จึงจะ ติดลบร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปี 2562

[su_spacer]

สิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็กและมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าเป็นสำคัญ จึงคาดว่าจะส่งผลให้ GDP ของสิงคโปร์ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปี 2562 ผู้วิเคราะห์คาดว่า ไทยจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในอาเซียน โดยคาดว่า GDP อาจ ลดลงถึงร้อยละ 8 เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของไทยที่เป็นแบบเปิด พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ และการเมืองที่ยังไม่มีความมั่นคงนัก อย่างไรก็ดี ไทยอาจได้รับผลกระทบเชิงบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เนื่องจากมีอัตราค่าจ้างและระบบการค้าที่สามารถทดแทนจีนได้

[su_spacer]

เวียดนาม ในปีนี้ คาดว่า GDP ของเวียดนามจะเติบโตที่ร้อยละ 1 เนื่องจากแม้เวียดนามจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด แต่เป็นระยะเวลาที่สั้นและสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไว้ได้แล้ว และเช่นเดียวกับไทยที่เวียดนามจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เนื่องจากมีค่าจ้างและระบบการค้าที่ทดแทนจีนได้ อย่างไรก็ดี เวียดนามได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ มาระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จึงมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงนโยบายทางภาษีต่อเวียดนาม (อนึ่ง ตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี อยู่บนพื้นฐานว่าเวียดนามสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้และระบบสาธารณสุขที่ยังรองรับได้ เนื่องจากเวียดนามไม่ได้ตรวจสอบผู้ติดเชื้ออย่างทั่วถึงและมีจุดอ่อนในด้าน สาธารณสุข)

[su_spacer]

ผู้วิเคราะห์ยังได้คาดการณ์ถึงกรณีที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสไว้ได้และต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงมากขึ้น โดยจะเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน การ ลดการลงทุน ความผันผวนของค่าเงิน อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจนำมาซึ่งการประท้วง/เดินขบวนของประชาชน (โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและไทย) ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ GDP ของไทยอาจลดลงถึงร้อยละ 16 (อินโดนีเซียอาจลดลงร้อยละ 4 มาเลเซียอาจลดลงร้อยละ 12 ฟิลิปปินส์อาจลดลงร้อยละ 10 สิงคโปร์อาจลดลงร้อยละ 14 และเวียดนามอาจลดลงร้อยละ 5)

[su_spacer]

ผลกระทบของมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ

[su_spacer]

ทุกรัฐบาลของประเทศอาเซียน ได้ออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ในหลายลักษณะ อาทิ การให้เงินอุดหนุนค่าจ้าง การยกเว้นภาษี และเงินให้เปล่า โดยสิงคโปร์และไทยเป็นสองประเทศที่อัดฉีดมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ (สิงคโปร์ร้อยละ 13 ไทยร้อยละ 9 ของ GDP) ในขณะที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนามใช้มาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 3 ของ GDP อย่างไรก็ดี ผู้วิเคราะห์เห็นว่า เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจะไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคของประชาชนได้มากนัก เนื่องจากประชาชนจะเน้นการเก็บออมเงินในช่วงนี้ เช่นเดียวกับภาคเอกชนที่จะยังไม่เพิ่มปริมาณการลงทุน

[su_spacer]

ด้วยมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจที่รัฐบาลต่างนำมาใช้ประกอบกับ GDP ที่ถดถอย จะนำไปสู่การเพิ่มปริมาณหนี้สาธารณะของอาเซียน โดยดอกเบี้ยจะเป็นภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลซึ่งจะส่งผลต่อสถานะทางการเงินของรัฐบาลในการรับมือกับความท้าทายอื่นๆ ในอนาคต

[su_spacer]

ภาคการเงิน

[su_spacer]

นโยบายการเงินของธนาคารกลางในอาเซียนยังคงเป็นแนวอนุรักษ์นิยม โดยเน้นการเพิ่มสภาพคล่อง ให้กับธนาคารและลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อให้ธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้น เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ผู้วิเคราะห์เห็นว่า ควรจำกัดการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากธนาคารไม่ต้องการจะปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนในสถานการณ์ที่ยังไม่มีความแน่นอน

[su_spacer]

หนี้เสีย (NPL) ของอาเซียนจะเพิ่มขึ้น แม้ดูผิวเผินแล้ว ค่ามาตรฐานค่าเผื่อหนี้เสียของอาเซียนจะอยู่ที่ 2.1 (ในขณะที่อียู อยู่ที่ 2.6) แต่หนี้ที่ก่อปัญหา โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามมีจำนวนมาก

[su_spacer]

สกุลเงินของภูมิภาคอาเซียน คาดว่า จะอ่อนค่าลงในช่วงอนาคตอันใกล้เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อาทิ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การถดถอยของ GDP รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยเฉพาะค่าเงินบาทของไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการลดลงของการส่งออกและการท่องเที่ยว ดังนั้น ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (นับจากเดือนพฤษภาคม 2563) คาดว่า ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่สกุลเงินดงของเวียดนามจะอ่อนค่าน้อยสุดอยู่ที่ 17.156 ดงต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

[su_spacer]

ผลกระทบต่อภาคอาหารและอุตสาหกรรมเกษตรของอาเซียน สรุปได้ดังนี้

[su_spacer]

ประเด็นท้าทาย อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด และความกังวลของผู้บริโภค ซึ่งส่งผลต่อรายได้ในอุตสาหกรรมอาหารของอาเซียนที่คาดว่าจะ ลดลงถึงร้อยละ 50 (การสั่งสินค้าทางออนไลน์และการนัดรับสินค้าที่ร้านค้า ยังไม่เป็นที่นิยมในอาเซียนมากนัก) และแม้ธุรกิจ ค้าปลีกจะได้รับประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคกักตุนอาหารแห้งในช่วงแรกของการใช้มาตรการ แต่แนวโน้มนี้จะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการแล้ว และผู้บริโภคจะเน้นสินค้าที่มีราคาเหมาะสม โดยไม่เน้นสินค้า premium สืบเนื่องมาจาก ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ได้รับ

[su_spacer]

มาตรการของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร แรงงานต่างด้าวเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร แต่การออกมาตรการของรัฐบาลต่าง ๆ ที่เข้มงวดส่งผลให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากเดินทางกลับประเทศของตน ซึ่งจำนวนแรงงานที่น้อยลงจะส่งผลกระทบต่อการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และการกระจายสินค้า

[su_spacer]

พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ การไม่รับประทานอาหารนอกบ้านและการถดถอยทางเศรษฐกิจส่งผลให้ความต้องการสินค้าการเกษตรลดปริมาณลง เช่น ความต้องการเนื้อวัว ลดลงร้อยละ 9 – 13 เนื้อหมูร้อยละ 4 – 17 เมล็ดพืชร้อยละ 2 น้ำตาลร้อยละ 2 – 3 เป็นต้น

[su_spacer]

การอ่อนตัวของค่าเงินและมาตรการปกป้องทางการค้า สกุลเงินของอาเซียนมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัว ลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรของประเทศอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น รวมถึง การออกมาตรการเพื่อปกป้องสินค้าเกษตรจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการค้า

[su_spacer]

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งธุรกิจขนาด กลางและขนาดเล็กถือเป็นผู้ขับเคลื่อน ศก. ในอาเซียน โดยมีจำนวนกว่าร้อยละ 90 ก่อให้เกิดอัตราการจ้างงานอยู่ที่ระหว่าง ร้อยละ 50-97 และแม้ธุรกิจการเกษตรและอก, อาหารจะเป็นสาขาที่มีความสำคัญและได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลในบางส่วน แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

[su_spacer]

ปัจจัยเสี่ยง ผู้วิเคราะห์เห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรของอาเซียนอาจได้รับผลกระทบมากขึ้น หากเกิดปัจจัยเสี่ยง ดังนี้ 1) การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการ 2) แม้ระบบการขนส่งยังเปิดให้บริการ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยง เกี่ยวกับการเกิดปัญหาสภาวะคอขวดและกฎเกณฑ์การส่งออกที่เข้มงวด และ 3) การประท้วงอาจเกิดขึ้นได้ หากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุขเลวร้ายลง

[su_spacer]

สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก

Tags: covid-19เนเธอร์แลนด์เศรษฐกิจ
Previous Post

หูหนานพลิกวิกฤตปรับเครื่องบินโดยสารเป็นเครื่องบินคาร์โก้สู้พิษ COVID-19

Next Post

ซีอานเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Investment Promotion Cloud” ที่เดียว ครบทุกการลงทุน

Tanakorn

Tanakorn

Glob Thailand Administrator

Next Post
ซีอานเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Investment Promotion Cloud” ที่เดียว ครบทุกการลงทุน

ซีอานเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Investment Promotion Cloud” ที่เดียว ครบทุกการลงทุน

Post Views: 943

NEW EVENT

Current Month

RECENTNEWS

กว่างซีจ้วงเร่งเครื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โอกาสใหม่ของไทยในยุทธศาสตร์ทะเลจีน

กว่างซีจ้วงเร่งเครื่องเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โอกาสใหม่ของไทยในยุทธศาสตร์ทะเลจีน

23/05/2025
เขต YRD ทะยานสู่ผู้นำโลกหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ และโอกาสความร่วมมือกับไทย ตอนที่ 3

เขต YRD ทะยานสู่ผู้นำโลกหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ และโอกาสความร่วมมือกับไทย ตอนที่ 3

22/05/2025
เจาะตัวเลขการค้าหูหนาน ไตรมาสแรก 2568

เจาะตัวเลขการค้าหูหนาน ไตรมาสแรก 2568

22/05/2025
ทิศทางความเคลื่อนไหวด้านพลังงานนิวเคลียร์ของไต้หวัน

ทิศทางความเคลื่อนไหวด้านพลังงานนิวเคลียร์ของไต้หวัน

22/05/2025
“โปรตีนทางเลือก” โอกาสสำหรับธุรกิจอาหารเพื่อความยั่งยืนในสิงคโปร์

“โปรตีนทางเลือก” โอกาสสำหรับธุรกิจอาหารเพื่อความยั่งยืนในสิงคโปร์

22/05/2025
สรุปข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาเดิน-เวือรืทเทิมแบร์ค

สรุปข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาเดิน-เวือรืทเทิมแบร์ค

22/05/2025

FOLLOW US

ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศ
443 ถนนศรีอยุธยา แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี
กรุงเทพมหานคร 10400

OFFICE HOURS

วันทำการ : จันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
TEL : 02-203-5000 ต่อ 14239 – 14245
EMAIL : IN**@**********ND.COM

FOLLOW US

© 2016-2022 Globthailand.com Business Information Centers (BICs) Ministry of Foreign Affairs, Kingdom of Thailand. All rights reserved.

No Result
View All Result
  • Home
  • เกี่ยวกับเรา
  • ทันโลก
    • เศรษฐกิจ I การเงิน
    • ธุรกิจ I การค้า I การลงทุน
    • การท่องเที่ยว I การบริการ
    • อาหาร I การเกษตร
    • คมนาคม I โลจิสติกส์
    • การแพทย์ I สุขภาพ
    • พลังงาน I สิ่งแวดล้อม I ความยั่งยืน
    • เทคโนโลยี I นวัตกรรม
    • E-commerce
    • กฎ I ระเบียบ I นโยบาย
    • อื่นๆ
    • INFOGRAPHICS
  • Glob Issue
  • ชี้ช่องจากทีมทูต
  • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • โอกาสใหม่ในต่างแดน
    • Thai Festival
  • รู้กฎก่อนรุก
    • ความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างประเทศ
  • Glob Insight
  • INTER ECON
  • เครือข่ายของเรา
    • GT Network
    • ลิงค์ที่น่าสนใจ
  • ติดต่อเรา

© 2016-2022 Globthailand.com Business Information Centers (BICs) Ministry of Foreign Affairs, Kingdom of Thailand. All rights reserved.

Welcome Back!

Sign In with Facebook
Sign In with Google
OR

Login to your account below

Forgotten Password? Sign Up

Create New Account!

Sign Up with Facebook
Sign Up with Google
OR

Fill the forms below to register

All fields are required. Log In

Retrieve your password

Please enter your username or email address to reset your password.

Log In
X
X