ด่านศุลกากรสะเดาเป็นด่านศุลกากรที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการค้าชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย โดยในแต่ละปีมีการนำเข้าส่งออกสินค้าผ่านด่านแห่งนี้มูลค่าเฉลี่ยกว่า 3 แสนล้านบาท โดยถือเป็นเขตที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุดในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของด่านดังกล่าว และพื้นที่ข้างเคียงมาโดยตลอด เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่[su_spacer size=”20″]
หนึ่งในประเด็นสำคัญของการพัฒนาด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกายูฮิตัม ที่ไทยและมาเลเซียได้เจรจาหารือร่วมกันก็คือ การผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการเปิดด่านตลอด 24 ชั่วโมง จากในปัจจุบันที่เปิดให้บริการระหว่างเวลา 05.00 – 23.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและการผ่านแดน โดยในการพบหารือครั้งล่าสุดระหว่างผู้แทนระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ไทยและมาเลเซียต่างเห็นชอบในหลักการเรื่องการเปิดจุดผ่านแดนเป็น 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเริ่มเปิดบริการอย่างเร็วที่สุดตั้งแต่ในวันที่ 15 มิถุนายน 2561โดยกำหนดให้ในช่วงเวลา 23.00 – 05.00 น. จะให้บริการเฉพาะการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์เท่านั้น ทั้งนี้ ไทยและมาเลเซียจะร่วมกันกำหนดประเภทรถยนต์และวัตถุประสงค์ของการขนส่งให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ[su_spacer size=”20″]
นอกจากการปรับเวลาการให้บริการของด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกายูฮิตัมแห่งปัจจุบันแล้วด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างห่างจากด่านในปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร บนพื้นที่กว่า 596-1-18 ไร่ จะเชื่อมโยงกับด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัมแห่งใหม่ของมาเลเซียด้วยเช่นกัน[su_spacer size=”20″]
หากโครงการและแผนงานที่กล่าวมาข้างต้นแล้วเสร็จ จะส่งเสริมให้การเชื่อมโยงการค้า การลงทุนการบริการด้านการขนส่ง (Logistics) ระหว่างไทยกับมาเลเซียสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในภาพรวม การเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกสงขลา ท่าเรือปีนัง สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ และนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงการขนส่งในระดับภูมิภาค ด่านฯ แห่งใหม่จะรองรับการขนส่งสินค้าทางบกของกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบนและประเทศจีนให้สามารถขนส่งสินค้าผ่านด่านฯ แห่งใหม่ของไทยและลงไปสู่มาเลเซียและสิงคโปร์ได้โดยง่าย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดความหนาแน่นของการขนส่งสินค้าทางเรือได้[su_spacer size=”20″]
นอกจากในด้านการคมนาคมขนส่งแล้ว การเปิดด่านฯ แห่งใหม่ยังช่วยเอื้อประโยชน์ในภาคการท่องเที่ยวด้วย โดยจากสถิติจำนวนผู้เดินทางเข้าไทยผ่านด่านสะเดาประจำปี 2560 ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า มีผู้เดินทางเข้าประเทศผ่านด่านฯ แห่งนี้ มีจำนวนถึง 1,488,833 คน หากด่านฯ แห่งใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็จะสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวและรถยนต์ที่ขับข้ามชายแดนได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างรายได้ในพื้นที่ต่อไป[su_spacer size=”20″]
ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์
กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ