ในปี 2566 เศรษฐกิจคาซัคสถานเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5.1 (GDP) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยโตที่ 259 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจนี้ ได้รับแรงหนุนจากภาคการส่งออกและการกระตุ้นทางการคลัง อีกทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน ยังส่งผลให้ชาวรัสเซียอพยพมาที่คาซัคสถานเป็นจำนวนมากขึ้น และนําไปสู่อุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นตามมา
โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และการเพิ่มขึ้นของการค้าปลีกในประเทศร้อยละ 8.8 โดยเฉพาะธุรกิจขายรถยนต์ในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศคาซัคสถานที่มีเพิ่มมากขึ้น
ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนในการส่งเสริมการเติบโตของ GDP ประเทศสูงที่สุด โดยอยู่ที่ร้อยละ 29.4 และมีการเติบโตเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในภาคการผลิตเหมืองแร่และเครื่องจักร โลหะพื้นฐาน และผลิตภัณฑ์เคมี
ภาคการลงทุน ถือเป็นแรงหนุนที่สำคัญในการเติบเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาซัคสถานเป็นผู้นําในกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ที่มีการหลั่งไหลของมูลค่าการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามามากที่สุด โดยช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2566 มี FDI ที่คาซัคสถาน จํานวน 19.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญที่ร้อยละ 86.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ประเทศที่มี FDI ในคาซัคสถานสูงสุด 10 ประเทศ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ เบลเยียม ฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และลักเซมเบิร์ก ทั้งนี้ โดยเฉพาะภาคขุดเจาะเหมืองแร่ ที่สามารถดึงดูดสัดส่วนของ FDI สูงสุดถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ การค้าส่งและค้าปลีก กิจกรรมทางการเงินและการประกันภัย การขนส่งและคลังสินค้า และการก่อสร้าง ตามลำดับ
ในช่วงมกราคม – พฤศจิกายน 2566 มูลค่าการค้าต่างประเทศของคาซัคสถานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 จาก ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 126 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจากจํานวนนี้ มีดุลการค้าเกิน 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสําคัญ ได้แก่ น้ํามันดิบและผลิตภัณฑ์น้ํามันดิบ ทองแดงและโลหะผสมทองแดง แร่ทองแดง Ferroalloys สินค้าที่เกี่ยวกับเคมีกัมมันตภาพรังสีและไอโซโทป กัมมันตภาพรังสี ข้าวสาลีและเมสลิน สําหรับสินค้านําเข้านั้น ส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดคือ รถยนต์ ชุดโทรศัพท์ ตัวถังและห้องโดยสาร ผลิตภัณฑ์ยา ชิ้นส่วนและ อุปกรณ์เสริมของยานยนต์ และน้ํามันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
ทั้งนี้ คาซัคสถานมีทุนสํารองระหว่างประเทศสูงถึง 96 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สินทรัพย์ของกองทุน แห่งชาติเพิ่มขึ้นถึง 60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สําหรับอัตราเงินเฟ้อนั้น ในเดือนธันวาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ 9.8 นับเป็นอัตราที่ต่ําที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 21.3 โดยราคาสินค้าบริโภค และอุปโภคมีการชะลอตัว ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในภาคบริการมีอัตราสูงขึ้นที่ร้อยละ 12.4 โดยเฉพาะค่าเช่าบ้าน ค่าอินเตอร์เน็ต และค่าบัตรโดยสารเครื่องบิน
อย่างไรก็ดี รัฐบาลคาซัคสถานมุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ มีอัตราการเติบโตเท่ากับภาคเหมืองแร่ และมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศ
IMF ประเมินว่า ในปี 2567 เศรษฐกิจของคาซัคสถานจะเติบโตที่ร้อยละ 3.1 ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากการปฏิรูปในประเทศที่ล่าช้า อย่างความล่าช้าในการขยายแหล่งน้ํามัน Tengiz / ความไม่แน่นอนของเส้นทางขนส่งน้ํามันผ่าน CPC / สถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน / ความตึงเครียดทางสังคมในคาซัคสถานที่เพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ทางรัฐบาลคาซัคสถานมีแผนจะให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดการณ์เรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ร้อยละ 3.9 ของ GDP ในปี 2567 อย่างไรก็ดี ภาคธนาคารและภาคธุรกิจน่าจะยังคงมีเสถียรภาพท่ามกลางภาวะการเงินที่ผ่อนคลายในระยะกลาง ตลอดจนการเติบโตของ GDP ที่ไม่ใช่ภาคน้ํามันจะทรงตัวที่ประมาณ ร้อยละ 3.5 และอัตราเงินเฟ้อจะค่อย ๆ ลดลงที่ร้อยละ 5 ในช่วงปี 2568 – 2569
ขณะที่ Eurasian Development Bank คาดการณ์ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจคาซัคสถานจะเติบโตที่ ร้อยละ 5 ซึ่งเป็นผลมาจากการดึงดูดการลงทุนสําหรับโครงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ อีกทั้ง นโยบายการลดอัตราดอกเบี้ย และนโยบายการกระจายความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่จะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจให้คาซัคสถานได้อย่างมีนัยสําคัญในช่วงปี 2568 2569 ซึ่งจะทําให้คาซัคสถานเป็นผู้นําในกลุ่มประเทศ EAEU ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด
ในทางกลับกันประธานาธิบดีโตคาเยฟ และ รัฐบาลคาซัคสถาน มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตและคงที่ให้ได้ที่ร้อยละ 6 ทุกปี ไปจนถึงปี 2572 ตามที่ได้ประกาศไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้ถึง 450 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2572 โดยมุ่งเป้าดึงดูด FDI จํานวน 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี โดยเน้น 2 แนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ได้แก่ (1) การแก้ปัญหาด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ high-valued industries ที่ไม่ใช่ด้านทรัพยากรธรรมชาติและเหมืองแร่ และการดึงดูดการลงทุนในโครงการเหล่านี้ และ (2) การปฏิรูประบบภาษีและกฎระเบียบด้านการเงิน/งบประมาณต่าง ๆ ของประเทศ รวมถึงการให้ความสําคัญกับธุรกิจกึ่งรัฐ (quasi-public sector) นอกจากนี้ ในปี 2567 รัฐบาลคาซัคสถานยังมุ่งลดอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 – 8
ข้อมูล : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา
เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์