(1) การดำเนินนโยบายสนับสนุน Fintech start-up ของรัฐบาลอินเดีย
อินเดียนอกจากจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระดับโลกแล้ว รัฐบาลอินเดียยังได้ดำเนินนโยบาย Digital India ตั้งแต่ปี 2558 โดยเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อเข้าถึง Digital services ควบคู่กับนโยบาย Start-up India เพื่อสร้างระบบนิเวศและการบ่มเพาะ (Nurturing and Incubation) ที่ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและธุรกิจ start-up ส่งผลให้อินเดียมีระบบนิเวศสำหรับ start-up ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเมืองบังคาลอร์และเมืองมุมไบถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 20 เมืองที่มีระบบนิเวศสำหรับ start-up ที่ดีที่สุดในโลก ทั้งนี้อินเดียมี Unicorn start-up 66 ราย และ Decacorn start-up รวม 3 ราย และยังมีอัตราเฉลี่ยการเกิด Unicorn start-up เพิ่มขึ้นถึง 3 รายต่อเดือน คาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 3 – 4 เท่าตัวภายในปี 2568 นอกจากนี้อินเดียยังเป็นหนึ่งในตลาด Fintech ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก มีมูลค่าประมาณ 31,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Fintech ในอินเดียกว่า 2,100 ราย อีกทั้งเมืองมุมไบยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีระบบนิเวศสำหรับ Fintech start-up ที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก
.
รวมถึงนโยบายการปฏิรูปการเงินและการธนาคารของรัฐบาลอินเดียเป็นอีกนโยบายที่ทำให้ภาคธุรกิจ Fintech start-up ในอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2559 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศยกเลิกธนบัตรประเภท 500 และ 1,000 รูปี เพื่อแก้ปัญหาเงินนอกระบบและธุรกิจผิดกฎหมาย นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้อินเดียกลายเป็นสังคมไร้เงินสด โดยประชาชนหันมาเปิดบัญชีธนาคารและใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และการชำระเงินดิจิทัล (Digital payment) เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
.
นอกจากนี้ธนาคารกลางแห่งอินเดีย (RBI) และ National Payments Corporation of India (NCPI) ได้พัฒนาระบบชำระเงินดิจิทัลแบบเรียลไทม์และการชำระเงินแบบครบวงจร (UPI) เพื่อเป็นประตูสำหรับการเชื่อมโยงบัญชีธนาคารกับ Fintech applications ต่าง ๆ เพื่อรองรับการทำธุรกรรมระหว่างธนาคารและการชำระเงินรายย่อย ซึ่งเป็นข้อริเริ่มสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน Fintech ในอินเดียให้เพิ่มสูงขึ้นถึง 87% ในระยะเวลา 4 ปี
.
(2) การแพร่ระบาดของ COVID-19 ปัจจัยเร่งการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี (Digital transformation) ในอินเดีย
.
การแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีในอินเดียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้บริโภคในอินเดียสามารถปรับตัวและผู้ประกอบการสามารถปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิด Fintech start-up ในอินเดียจำนวนมากที่นำวิธีการทางดิจิทัล (Digital solution) มาใช้ใน Fintech services เช่น การบริการแบบไร้การสัมผัสที่มีความรวดเร็วแบบเรียลไทม์ การอำนวยความสะดวกในการชำระค่าสินค้าและทำธุรกรรมทางการเงินแก่ผู้ใช้บริการ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ ทั้งนี้ภาพรวมภาคอุตสาหกรรม Fintech ในอินเดียหลังวิกฤต COVID-19 จะยังคงมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณปีละ 22% และมีมูลค่า 84,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2568 โดยเฉพาะในสาขาการชำระเงิน (payment) ควบคู่กับการเติบโตของ E-commerce ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและเริ่มมีความคุ้นชินกับการใช้ Fintech application มากขึ้นแล้ว จึงนำมาสู่การพัฒนา Tech solution และนวัตกรรม Fintech services ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น Fintech Software Services สำหรับภาคธุรกิจและผู้พัฒนาโปรแกรม ตลอดจน blockchain และการซื้อขาย cryptocurrency ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรม Fintech ของอินเดียเติบโตในอนาคต
.
จากข้อมูลข้างต้น ประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและประสบการณ์ด้าน Fintech start-up ของอินเดียและร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Fintech ของอินเดีย คือ บริษัท Tata Consultancy Services (TCS) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้าน IT Services ที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีสาขาอยู่ในไทย รวมถึงภาควิชาการ คือ Indian Institute of Technology Bombay (IIT Bombay) เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแลกเปลี่ยนความรู้ในการสร้างขีดความสามารถของภาคเอกชนไทยในการพัฒนานโยบายและเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ Fintech เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การขยายตลาดให้ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียนที่มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือมากที่สุดในโลก และการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนจะมีมูลค่าถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 5 ปีข้างหน้า จึงเป็นโอกาสสำหรับภาคเอกชนไทยที่จะใช้ประโยชน์จากความตื่นตัวดังกล่าว เพื่อพัฒนาระบบนิเวศสำหรับ Fintech start-up ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยต่อไป
.
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ