1.ด้านการค้า
ภาพรวมการค้าไทย-อินเดียในช่วง 7 เดือนแรก มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย 4.486 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.45 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกสินค้ามายังประเทศไทย 3.731 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.71 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมที่ไทยเน้นเพื่อสนับสนุน Made in India ที่ไทยสนับสนุน ได้แก่ (1) พลาสติกชีวภาพ (2) เคมีภัณฑ์ (3) อัญมณีและเครื่องประดับ (4) ชิ้นส่วนเครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า (5) น้ำมันปาล์ม และสำหรับสินค้าที่ไทยส่งเสริมในการจับคู่ทางธุรกิจ ได้แก่ (1) ไม้ยางพาราและเฟอร์นิเจอร์ (2) อาหารสัตว์ (3) น้ำมันปาล์ม (4) ของเล่นเด็ก (5) เครื่องสําอาง
.
2.ด้านการลงทุน
ภาพรวมการลงทุนของอินเดียในไทยระหว่างปี 2561 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีทั้งหมด 61 โครงการ วงเงินรวม 6 พันล้านบาท โดยที่ผ่านมา แม้ว่าจํานวนโครงการที่ไปลงทุนในแต่ละปีมีจํานวนน้อยลง แต่มูลค่าการลงทุนของแต่ละโครงการเพิ่มสูงขึ้น โดยการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มี 11 โครงการ เงินลงทุน 3.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 250 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเบา เคมีเกษตร โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการ โดยอุตสาหกรรมที่มีวงเงินลงทุนสูงสุด ได้แก่ถุงมือยาง สัตว์เลี้ยง และเม็ดแคปซูลใส่ยา ซึ่งบริษัทที่อยู่ระหว่างการวางแผนไปลงทุน ได้แก่ (1) บริษัท Bajaj Auto ผู้ผลิตจักรยานยนต์รายใหญ่ของอินเดีย โดยตั้งมีการตั้งสำนักงานที่ไทยแล้ว และจะจัดตั้งโรงงานประกอบและผลิตจักรยานยนต์ภายใต้ ยี่ห้อ ‘KPM’ (2) บริษัท Royal Enfield ผู้ผลิตจักรยานยนต์รายใหญ่เช่นเดียวกัน โดยจัดตั้งตัวแทนจําหน่ายที่ไทยแล้ว และจะร่วมทุนกับบริษัท CVS Motors ของไทย ในการผลิตจักรยานยนต์ (3) บริษัทผลิตเครื่องมือทางการแพทย์
.
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นั้น มีความเป็นไปได้ 2 โครงการ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 ของมูลค่าโครงการที่อินเดียเข้าไปลงทุนในไทยทั้งหมด โดยมี (1) โรงงานผลิตเม็ดแคปซูลจากกระดูกสัตว์ ในจังหวัดระยอง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตจะมีการขยายกําลังการผลิตในไทยเพิ่มเติมเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท และ (2) โรงงานผลิตชุดเกียร์สําหรับจักรยานยนต์ของ BMW มูลค่า 284 ล้านบาท
.
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนของไทยในอินเดีย ธนาคารกรุงไทยในมุมไบจะปิดตัวลง และจะถอนตัวออกจากอินเดียอย่างสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2565 เนื่องจากเนื่องจากต้นทุนดําเนินธุรกิจสูงและไม่คุ้มทุน
.
3.ด้านการท่องเที่ยว
ในภาพรวม เมื่อปี 2562 มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมายังประเทศไทยจำนวน 1.96 ล้านราย เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 25 และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยได้ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมร้อยละ 20 นอกจากนี้ ยังมีแผนการจัดโครงการ Amazing Thailand Kitchen ภายใต้แนวคิด ‘Bring Thailand to You’ โดยจะเชื่อมโยงอาหารไทยกับแหล่งท่องเที่ยวไทยอื่น ๆ นอกจากพัทยาและกรุงเทพฯ และมุ่งเน้นการส่งเสริมการตลาดไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวอินเดียที่มีกําลังซื้อ และโครงการ Thailand Wedding Expo
.
จะเห็นได้ว่า ประเทศอินเดียนั้นมีศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะสามารถต่อยอดความร่วมมือด้านการค้า การร่วมทุน และการขยายความสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี การนำนวัตกรรมมาใช้ในการดําเนินธุรกิจ การแลกเปลี่ยนบุคลากร การฝึกงานในบริษัทต่าง ๆ ระหว่างไทย-อินเดีย เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ของอินเดียต่างให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพให้กับบริษัทไทย
.
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี