รัฐบาลรัฐมหาราษฏระยกเลิกแผนการเก็บภาษีรถยนต์สําหรับรถยนต์ EV ที่มีราคาสูงกว่า 3 ล้านรูปี (ประมาณ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) เนื่องจากพบว่า มีปริมาณความต้องการรถยนต์ EV ในช่วงราคาดังกล่าวน้อยมาก ซึ่งการเก็บภาษีรถยนต์ EV นอกจากจะไม่สนับสนุนนโยบายรถยนต์ EV ของรัฐบาลแล้ว รายได้ของรัฐบาลที่จะเพิ่มขึ้นจากภาษีดังกล่าวก็น้อยมากอีกด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า การประกาศในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัท Testa ได้เช่าพื้นที่ขนาด 4,000 ตารางฟุต ในเขต Bandra Kurta Complex (BKC) เพื่อใช้เป็นโชว์รูมรถยนต์ Testa แห่งแรกในอินเดีย พร้อมกับประกาศรับสมัครพนักงานระดับกลางจํานวน 20 อัตรา ในสาขาต่างๆ 5 สาขา


โดยในปี ค.ศ. 2024 ตลาดรถยนต์ EV ในอินเดีย มีอัตราการเจริญเติบโตถึงร้อยละ 20 ตลาดรถยนต์ EV อินเดียในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 54.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 111 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2029 โดยมีบริษัท Tata Motors ครองตลาดในสัดส่วนร้อยละ 50 ตามด้วยบริษัท JSW MG Motors และบริษัท Mahindra & Mahindra ในขณะที่บริษัท Hinduja จะเน้นรถยนต์โดยสารสาธารณะ EV เป็นหลัก ทั้งนี้ รัฐบาล อินเดียมีเป้าหมายที่จะให้รถยนต์ EV มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 30 ของรถยนต์ทั้งหมดในอินเดีย ภายในปี ค.ศ. 2030
ทั้งนี้ อินเดียเป็นตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับสามของโลก มียอดจําหน่ายรถยนต์กว่า 4.3 ล้านคัน ในปีที่ผ่านมา และเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการปกป้องจากรัฐบาลอินเดียเป็นอย่างมาก อีกทั้ง หากในอนาคต Testa พิจารณาตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในอินเดีย รัฐมหาราษฏระน่าจะเป็นรัฐหนึ่งที่มีโอกาสสูงมากที่จะได้รับเลือกให้เป็นโรงงานประกอบรถยนต์ Testa เนื่องจากมีระบบนิเวศน์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ดี มีแรงงานทักษะสูง รวมทั้งนโยบายในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของทางรัฐบาล ซึ่งการประกาศยกเลิกการเก็บภาษีรถยนต์ EV ราคาสูงดังกล่าว น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลที่จะดึงดูดให้บริษัท Tesla เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ในรัฐมหาราษฏระมากยิ่งขึ้น
ข้อมูล : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ
เรีนบเรียง ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์