กลุ่ม Gen Alpha หรือเด็กที่เกิดหลังปี 2010 กําลังเป็นคลื่นลูกใหม่ที่เข้ามาสร้างสีสันในวงการธุรกิจสินค้าและบริการต่าง ๆ มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 จํานวนประชากรกลุ่ม Gen Alpha จะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรโลก และจะมีกําลังซื้อที่ประมาณ 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่ามหาศาลที่ธุรกิจต่าง ๆ ให้ความสนใจอย่างมากมาย
ไม่เว้นแม้แต่ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสําอางและผลิตภัณฑ์บํารุงผิวหน้าที่หลายคนมองว่า เด็กกลุ่ม Gen Alpha ยังไม่มีความจําเป็นในการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว เนื่องจากสภาพผิวยังไม่มีปัญหามาก อีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองเงินของผู้ปกครอง เพราะราคาสินค้าค่อนข้างสูง ทว่าเด็กหญิงจํานวนมากกลับให้ความสนใจเรื่องความสวยงามมากขึ้น จนเกิดเป็นปรากฏการณ์เทรนด์ “Sephora Kid” ซึ่งกําลังมาแรงในหมู่ Gen Alpha ด้วยมีการทําคอนเทนต์เผยแพร่การดูแลผิวพรรณและความงามของตัวเอง พร้อมกับรีวิวการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์แบบผู้ใหญ่ รวมไปถึงการใช้แฮชแท็ก #sephorakid บนช่องทางสื่อออนไลน์กับเด็กที่มีอายุราว 8-12 ปีซึ่งเข้าไปซื้อเครื่องสําอางและสกินแคร์ในร้าน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อิทธิพลพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของกลุ่มวัย Gen Alpha ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่ลูกๆ ของเหล่าคนดัง อาทิ ตระกูล Kadashian ทั้ง North West ลูกสาว Kim Kadashian และ Penelope ลูกสาว Kourtney Kadashian ได้มีการถ่ายคลิปวิดีโอการใช้สกินแคร์ในชีวิตประจําวันจากผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมหลายตัว ก่อนจะกลายเป็นไวรัลบน TikTok และเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมในหมู่ Gen Alpha ทั้งนี้ แบรนด์สกินแคร์หลายตัวต่างยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะสะท้อนจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่เติบโตขึ้น จนหันมาเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าอายุน้อยกันมากขึ้น เช่น Evereden, Sol de Janeiro, Elf Cosmetics และ Drunk Elephant ซึ่งกําลังเป็นที่นิยมในหมู่ Gen Alpha
อย่างไรก็ดี ด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังได้ออกมาแสดงความกังวลถึงผลลัพธ์ที่ตามมาว่า ผลิตภัณฑ์ครีมดูแลผิวหน้าบางตัวไม่ได้ออกแบบมาสําหรับผิวเด็กซึ่งมีความแตกต่างจากผิวผู้ใหญ่ และอาจก่อผลเสียมากกว่าผลดี โดย Dr. Monica Li แพทย์ผิวหนังและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านผิวหนัง จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย นครแวนคูเวอร์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สกินแคร์หลายชนิดในท้องตลาดยังไม่ได้ผ่านการทดสอบกับผิวเด็กและวัยรุ่น ดังนั้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้ในผิวที่ยังอ่อนเยาว์ได้ นอกจากนั้น ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ผู้ใหญ่ยังมีส่วนประกอบที่ไม่จําเป็นสําหรับเด็ก เช่น คอลลาเจน ซึ่งมีตามธรรมชาติในตัวเด็กอยู่แล้ว หรือส่วนผสมบางรายการ เช่น เรตินอล, สครับผิว, ครีมทาใต้ตา หรือเซรั่มวิตามินซี เป็นผลิตภัณฑ์ที่เด็กควรหลีกเลี่ยงใช้งาน เนื่องจากจะเกิดการระคายเคืองผิวหนังที่อาจลอกหรือผิวไหม้ได้
ขณะที่ Dr. Linda Xing แพทย์ผิวหนังอีกรายและผู้อํานวยการศูนย์ Rejuvenation Dermatology รัฐออนทาริโอ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของผู้ใหญ่อาจไม่ได้เป็นอันตรายต่อผิวเด็กก็จริง แต่ก็ไม่จําเป็นสําหรับผิวที่ยังอ่อนเยาว์และสุขภาพดีตามธรรมชาติอยู่แล้ว ซึ่งหากเด็กเริ่มใช้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ก่อนวัยอันควรอาจเป็นสาเหตุเกิดความเสี่ยงต่อสารก่อภูมิแพ้ (Allergy) ในภายหลังได้ นอกจากนั้น เด็กอาจตกเป็นเหยื่อของเทรนด์โซเชียลโดยปราศจากซึ่งความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี หากเทรนด์ “Sephora Kid” กําลังเป็นที่นิยมและหลีกเลี่ยงได้ยาก คุณหมอแนะนําว่า ควรให้ ความรู้ความเข้าใจผลิตภัณฑ์ที่เด็กควรใช้ตั้งแต่แรก ได้แก่ คลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดดที่ผ่านการทดสอบกับผิวสําหรับเด็กมาแล้ว และควรใช้ในปริมาณให้เหมาะสมกับวัย
ข้อมูลของ Statista ประเมินว่า มูลค่าตลาดเครื่องสําอาง (Cosmetic) ในแคนาดาคิดเป็นประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2570 โดยเมื่อปี 2565 มีร้านจําหน่ายเครื่องสําอาง อุปกรณ์เสริมความงาม และน้ําหอมอยู่ที่ 2,500 แห่งทั่วแคนาดา ซึ่งข้อมูลการเติบโตของตลาดเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับบริษัท Circana ที่มีมูลค่าตลาดเครื่องสําอางและครีมทาผิวหน้าในแคนาดาปี 2556 เติบโตร้อยละ 18 จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ตลาดเครื่องสําอางในแคนาดายังมีระเบียบการนําเข้าที่ยุ่งยาก ตลอดทั้งการดําเนินเอกสารที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ตลาดมีโอกาสขยายตัวได้ ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ความงามที่มีคุณภาพและภาพลักษณ์ที่น่าสนใจ ใช้วัตถุดิบที่ผลิตจากธรรมชาติปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค มีแผนการตลาดเชิงรุกทางสื่อโซเชี่ยลอย่างจริงจัง และเน้นสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ซื้อที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น อาจเป็นโอกาสต่อการขยายฐานการตลาดการค้าไทยเพิ่มขึ้นอีกได้เช่นกัน
ที่มา : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ และสำนักข่าว cbc