ในปี 2567 นครโฮจิมินห์มีผลิตภัณฑ์มวลรวมท้องถิ่น (Gross Regional Domestic Product: GRDP) ประมาณ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการเติบโต GRDP ร้อยละ 7.17 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ (ร้อยละ 7.09) โดยมีสัดส่วนของภาคการค้าและบริการมากที่สุดที่ร้อยละ 65.5 ภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง ร้อยละ 21.7 การจัดเก็บภาษี ร้อยละ 12.3 และภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ และประมง ร้อยละ 0.5
การเติบโตทางเศรษฐกิจของนครฯ เป็นผลมาจากการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการผลิตในประเทศ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.24 ในขณะที่ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (IIP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 (มูลค่า 58.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.3 (มูลค่า 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่า 2.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 39.5 โดยประเทศที่ลงทุนในนครฯ มากที่สุดคือ สิงคโปร์ (119.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 25.1 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (117.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 24.6 และเกาหลีใต้ (65.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 13.8 ในด้านการท่องเที่ยว นครโฮจิมินห์ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 ล้านคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 20) และนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 38 ล้านคน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6) โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 7.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8
ความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ
(1) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่านครโฮจิมินห์จะยังเป็นนคร/ จังหวัดที่มี FDI สูงที่สุดในประเทศ (มูลค่าสะสม 58.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่แนวโน้มการดึงดูด FDI กลับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2567 นครฯ สามารถดึงดูด FDI ได้เพียง 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 39.5 นอกจากนี้ เงินลงทุนจดทะเบียนสำหรับโครงการใหม่ยังลดลงร้อยละ 18.3 เหลือเพียง 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จำนวนโครงการใหม่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 เป็น 1,285 โครงการก็ตาม
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ FDI ลดลง ได้แก่ (1) ปัญหาการขาดแคลนที่ดินอุตสาหกรรม เนื่องจากปัจจุบันแม้นครโฮจิมินห์จะมีพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับการจัดสรรเกือบ 6,000 เฮกตาร์ แต่พื้นที่กว่า 1,500 เฮกตาร์ยังคงติดปัญหาด้านกฎหมายหรือการเวนคืนที่ดิน โดยพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม Saigon Hi-Tech Park ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการดึงดูดโครงการในสาขาอิเล็กทรอนิกส์ ไมโครชิป และเซมิคอนดักเตอร์ สามารถ จัดสรรที่ดินได้เพียง 0.5 – 3 เฮกตาร์ต่อโครงการ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุน อีกทั้งพื้นที่ส่วน ใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมใกล้เต็มหรือยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จากภาครัฐ เนื่องจากยังติดปัญหาด้านกฎหมาย (2) ปัญหาความล่าช้าของกระบวนการภาครัฐ ซึ่งกลายเป็นความกังวลสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่ไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
(2) ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ของนครโฮจิมินห์ยังประสบกับความท้าทาย โดยมีเพียงกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มีสัญญาณฟื้นตัว ในขณะที่อุปทานยังจำกัด เนื่องจากข้อจำกัดและอุปสรรคด้านกฎหมายและการเงิน อย่างไรก็ดี รายงานล่าสุดจากคณะกรรมการประชาชน นครโฮจิมินห์ระบุว่า ในปี 2567 นครฯ ได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายและลดอุปสรรคให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 34 โครงการ จาก 64 โครงการ ทั้งนี้ จากสถิติของบริษัท CBRE พบว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในนครโฮจิมินห์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ร้อยละ 8 ต่อปี โดยเฉพาะราคาคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4-5 โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณ 70 ล้านด่ง (95,100 บาท) ต่อตารางเมตร เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนโสดและครอบครัวที่มีลูกเล็ก ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2568 นครโฮจิมินห์จะมีจำนวนคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 8,000 – 9,000 ยูนิต และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นอีก 11,000 ยูนิต
(3) ความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณ นาย Nguyen Van Nen เลขาธิการ CPV นครโฮจิมินห์ เปิดเผยข้อมูลว่า ตลอดช่วงเดือนธันวาคม 2567 การเบิกจ่ายงบประมาณของนครฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ การดำเนินการที่ล่าช้าของหน่วยงานภาครัฐในนครฯ ปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนที่เกิดขึ้นในแต่ละโครงการ และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายที่ดินปี 2567 ซึ่งส่งผลให้โครงการต้องใช้เวลาในการปรับตัวต่อกฎหมายและระเบียบใหม่
ความเคลื่อนไหวในสาขาการค้าและการลงทุนที่สำคัญในนครโฮจิมินห์
(1) การค้าปลีก ในภาพรวมปี 2567 ตลาดการค้าปลีกของเวียดนามยังคงมีเสถียรภาพ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยทั้งประเทศ ร้อยละ 8.3 ในขณะที่นครโฮจิมินห์มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ร้อยละ 5.2
(2) การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2567 เวียดนามมีโครงการ FDI ใหม่ 3,375 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 และมีมูลค่ารวมกว่า 19.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 7.6 โดยส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิต (ร้อยละ 66.9) และภาคอสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 16.5) ในขณะที่นักลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง และญี่ปุ่น ทั้งนี้ นครโฮจิมินห์ยังสามารถดึงดูด FDI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงถึงร้อยละ 49.4 แต่ยังคงสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวของการลงทุนที่ลดลงของนครโฮจิมินห์ เกิดจากปัญหาการขาดแคลนที่ดินและความล่าช้าของกระบวนการภาครัฐ
(3) การท่องเที่ยว ในปี 2567 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 17.58 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.5 และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ของทั้งปีที่ 17 ล้านคน ทั้งนี้ ในปี 2568 เวียดนามตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22 – 23 ล้านคน และนักท่องเที่ยวภายในประเทศ 120 – 130 ล้านคน โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.86 – 4.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนครโฮจิมินห์มีการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีมูลค่า 44 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.3
(4) การส่งออก ในปี 2567 เวียดนามมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวม 7.86 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4 โดยการส่งออกมีมูลค่า 4.05 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3 ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 3.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7 ทั้งนี้ สินค้าส่งออกที่สำคัญของเวียดนาม ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ (มูลค่า 72.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.6 และคิดเป็นร้อยละ 17.9 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) โทรศัพท์มือถือและส่วนประกอบ (มูลค่า 53.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 และคิดเป็นร้อยละ 13.3 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) นอกจากนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มยังเติบโตโดดเด่นด้วยมูลค่าการส่งออก 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ทำให้เวียดนามแซงบังกลาเทศขึ้นเป็นผู้ส่งออกสินค้าสิ่งทอรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ทั้งนี้ นครโฮจิมินห์ถือเป็นจังหวัดที่มีการเติบโตของการส่งออกในอันดับต้น ๆ อยู่ที่ร้อยละ 8.3 สินค้าส่งออกหลัก คือ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแปรรูป
(5) เศรษฐกิจดิจิทัลและ e-commerce ธุรกิจ e-commerce ในเวียดนามยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยในปี 2567 ตลาด e-commerce มีมูลค่าทะลุ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2566 และคิดเป็นร้อยละ 9 ของมูลค่าการค้าปลีกสินค้าและรายได้จากบริการด้านการบริโภคของทั้งประเทศ ทั้งนี้ e-commerce ครองส่วนแบ่ง 2 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของเวียดนาม และทำให้เวียดนามเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีการเติบโตของ e-commerce สูงที่สุดในโลก
(6) โครงสร้างพื้นฐาน ในปี 2567 รัฐบาลเวียดนามเร่งดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงการที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างนครหลักในแต่ละภูมิภาคกับจังหวัดโดยรอบ เพื่อส่งเสริมศักยภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดและส่งเสริมการพัฒนาของภูมิภาคโดยรวม โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงการทางด่วนสายเหนือ-ใต้ของเวียดนาม ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปี 2568
(7) การส่งออกข้าว ในปี 2567 เวียดนามมีปริมาณการส่งออกข้าวสูงที่สุดในรอบ 35 ปี โดยมีปริมาณการส่งออก 9 ล้านตัน มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ในเชิงปริมาณ และร้อยละ 24 ในเชิงมูลค่า และอยู่ในอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดีย และไทย โดยมีฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 40 ของปริมาณการส่งออกข้าวทั้งหมดของเวียดนาม ส่วนตลาดอื่น ๆ ที่สำคัญรองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ เวียดนามยังได้ขยายพื้นที่ปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งมีพื้นที่รวม 4,092,000 เฮกตาร์ โดยเป็นพื้นที่สำหรับการเกษตรถึง 2,575,000 เฮกตาร์ และเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญของเวียดนาม โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผลผลิตข้าวในภูมิภาคทรงตัว อยู่ที่ 24 – 25 ล้านตัน คิดเป็นกว่าร้อยละ 55 ของการผลิตข้าวทั้งหมด และกว่าร้อยละ 90 ของการส่งออกข้าวของเวียดนาม ทั้งนี้ ในปี 2567 ราคาข้าวของเวียดนามมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้าวหัก 5% มีราคาเฉลี่ยในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ที่ 624 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และลดลงจนอยู่ที่ 434 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน (ราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564)
แนวโน้มด้านเศรษฐกิจในช่วงต่อไป
(1) แผนแม่บทการพัฒนาจังหวัด/นคร ในช่วงปี 2566-2567 ทั้ง 22 จังหวัด/นครในเขตกงสุลต่างจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระยะปี ค.ศ. 2021 – 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี ค.ศ. 2050 ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ได้รายงานพัฒนาการอย่างต่อเนื่องแล้ว โดยล่าสุด ในปี 2567 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติแผนแม่บทเพิ่มเติมสำหรับ 3 จังหวัด/นครในเขตกงสุล ได้แก่ จังหวัดกว๋างนาม จังหวัดด่งนาย และนครโฮจิมินห์
สำหรับนครโฮจิมินห์ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติแผนพัฒนานครโฮจิมินห์ ระยะปี ค.ศ. 2021 – 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี ค.ศ. 2050 เพื่อพัฒนานครฯ ให้เป็นเมืองระดับโลกที่มีความทันสมัย มีทรัพยากรมนุษย์คุณภาพสูง เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียวและสังคมดิจิทัล เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการเงิน การค้า การบริการ การศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าให้ GRDP เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 8.5 – 9 ต่อปี และรายได้ต่อหัวเพิ่มเป็น 385 – 405 ล้านด่ง (ประมาณ 15,620 – 16,430 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2030 พร้อมทั้งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ของ GRDP และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเน้นการผลิตแรงงานทางสังคม พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการขจัดความยากจน โดยสาขาที่นครฯ จะให้ความสำคัญ อาทิ การเกษตร ป่าไม้ ประมง อุตสาหกรรมหลักและสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง และเซมิคอนดักเตอร์ การก่อสร้าง การค้า และโลจิสติกส์
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติคำสั่งที่ 202/QĐ-TTg ว่าด้วยแผน การพัฒนาเมือง Thu Duc ของนครโฮจิมินห์จนถึงปี ค.ศ. 2040 โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเมือง Thu Duc ให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรม และ Knowledge-based Economy วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความร่วมมือเพื่อการพัฒนา โดยมุ่งเน้นการศึกษา การฝึกอบรมระดับสูง การวิจัยและการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้า และการบริการระดับนานาชาติ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางโครงสร้าง พื้นฐานดิจิทัลของนครฯ ตลอดจนเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างนครฯ กับสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ (สนามบิน Long Thanh จังหวัดด่งนาย) รวมถึงเมืองและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทางฝั่งตะวันออกของนครฯ โดยภายใต้แผนดังกล่าว เมือง Thu Duc จะแบ่งออกเป็น 9 พื้นที่ เพื่อพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางในด้านต่าง ๆ รวมทั้งยังมี แผนที่จะยกระดับพื้นที่อุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีชั้นสูง และแผนพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์หลัก 4 แห่ง พร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนระบบการขนส่งที่ศูนย์โลจิสติกส์ต่าง ๆ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 คณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ได้จัดงานประกาศและประชาสัมพันธ์แผนการพัฒนาเมือง Thu Duc อย่างเป็นทางการแล้ว
ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์
เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์