เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2561 ศาลปกครองสูงสุดแห่งรัฐเฮสเซิน เมือง Kassel ได้ยกคําร้องขององค์กรปกป้องสิ่ งแวดล้อมของเยอรมนี (Deutsche Umwelthilfe e.V. – DUH) ที่ยื่นขอให้ศาลปกครองสูงสุดฯ บังคับการห้ามใช้รถยนต์ดีเซลที่ ไม่ผ่านมาตรฐานยูโร 6 ในนครแฟรงก์เฟิร์ต ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โดยทันที และตัดสินให้รัฐบาลรัฐเฮสเซิ นสามารถยื่นอุทธรณ์คําตัดสินเมื่ อวันที่ 5 กันยายน 2561 ของศาลปกครองเมืองวีสบาเดนเกี่ ยวกับการห้ามใช้รถดี เซลในนครแฟรงก์เฟิร์ตได้ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดฯ ยังมีข้อสงสัยต่อความถูกต้ องของคําตัดสินศาลปกครองเมืองวี สบาเดนในประเด็นเกี่ยวกับข้อบั งคับของสหภาพยุโรปที่กําหนดให้ สามารถมีค่าไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ในอากาศได้ไม่เกิน 40 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และรัฐบัญญัติของสหพันธ์ฯ ว่าด้วยการควบคุมมลพิษที่ระบุ เพียงการทําให้มีมลพิษน้อยที่สุ ดเท่าที่สามารถทําได้เท่านั้น นอกจากนั้น ยังไม่มีรายงานว่าประชาชนที่ อาศัยในเขตที่มีมลพิษทางอากาศสู งมีปัญหาด้านสุขภาพ จึงต้องมีการศึกษาผลกระทบด้ านมลพิษเสียก่อน ดังนั้น จึงมีผลให้ชะลอการห้ามใช้รถดี เซลในนครแฟรงก์เฟิร์ตตั้งแต่เดื อนกุมภาพันธ์ 2562 ออกไปก่อน[su_spacer size=”20″]
รัฐบาลรัฐเฮสเซินประกาศว่ าจะพยายามเร่งดําเนินมาตรการต่ าง ๆ เพื่อให้นครแฟรงก์เฟิร์ตมี อากาศที่บริสุทธิ์อย่างเต็มที่ โดยจะหามาตรการปรับปรุงคุ ณภาพอากาศในนครแฟรงก์เฟิร์ตให้ ดีขึ้น พร้อมกับรักษาระดับการปล่อย NO2 ให้อยู่ในระดับที่ EU กําหนด เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ ประชาชนในนครแฟรงก์เฟิร์ตมีสุ ขภาพที่ดี อาทิ การขยายพื้นที่จอดรถ การเพิ่มจุด park and ride ให้มากขึ้น การปรับแต่งเครื่องยนต์ ของรถโดยสารสาธารณะ และการเพิ่มช่ องจราจรของรถโดยสารสาธารณะ เป็นต้น[su_spacer size=”20″]
นาย Volker Bouffier นายกรัฐมนตรีรัฐเฮสเซิน และนาง Priska Hinz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้ อมรัฐเฮสเซ็นต่างเห็นด้วยกับคํ าตัดสินของศาลปกครองสูงสุดฯ ที่ส่งผลให้นครแฟรงก์เฟิร์ตยั งคงสามารถใช้รถยนต์ดีเซลได้ จนกว่าจะมีคําตัดสินเพิ่มเติ มจากศาลปกครองสูงสุดฯ โดยสนับสนุนให้ดําเนินมาตรการต่ าง ๆ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ อาทิ การแก้ไขปัญหาการจราจร การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า การขยายระบบการคมนาคมโดยรถบริ การสาธารณะและเส้นทางรถจักรยาน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหพั นธ์ฯ สนับสนุนให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ เป็นผู้รับผิดชอบการปรับแต่ งเครื่องยนต์ใหม่ด้วย ในขณะที่กลุ่มองค์กรด้านสิ่ งแวดล้อมให้ความเห็นว่า คําสั่งศาลฯ เป็นเพียงการชะลอ การห้ามใช้รถยนต์ดีเซลออกไปเพี ยงไม่กี่เดือนเท่านั้น[su_spacer size=”20″]
นาย Michael zu Löwenstein ประธานพรรค CDU ประจําเขต Römer นครแฟรงก์เฟิร์ต และนาย Matthias Gräßle ประธานหอการค้านครแฟรงก์เฟิร์ ตให้ความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นครแฟรงก์เฟิร์ตสามารถลดระดั บการปล่อย NO2 ให้อยู่ในระดับที่กําหนดได้ด้ วยการดําเนินมาตรการต่าง ๆ จึงไม่จําเป็นต้องห้ามการใช้ รถยนต์ดีเซล ทั้งนี้ หากนครแฟรงก์เฟิร์ตต้องห้ามใช้ รถยนต์ดีเซลซึ่งมีจํานวนมากกว่า 1 ล้านคัน (ซึ่งรวมถึ งรถโดยสารสาธารณะบางส่วน) จะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิ จของนครแฟรงก์เฟิร์ตและเขตไรน์/ ไมน์เป็นอย่างมาก[su_spacer size=”20″]
สถานกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต