สํานักบริหารจัดการทางหลวงและการจราจรรัฐเฮสเซิน (Hessen Mobil – StraBen- und Verkehrsmanagement) แถลงว่า การก่อสร้างเส้นทางนําร่องสายแรกในรัฐเฮสเซ็นสําหรับรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าบนทางหลวงสาย A5 ระหว่างนครแฟรงก์เฟิร์ตและเมืองดาร์มสตัดท์ ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร มีความรุดหน้าอย่าง รวดเร็วตามแผนและกรอบเวลาที่วางไว้ ทั้งด้านการติดตั้งเสาพร้อมระบบส่งกําลังไฟฟ้าหรือการเดินสายจ่ายไฟตลอดเส้นทางทดลองและคาดว่า ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561เส้นทางทดลองจะพร้อมใช้งาน โดยในปี 2562 จะเริ่มทดลองให้ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าวิ่งเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งระหว่างการขับเคลื่อนบนเส้นทาง “e-Highway” รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าจะสามารถชาร์จไฟฟ้าเพื่อนําไปสํารองในแบตเตอรี่ได้อีกด้วย[su_spacer size=”20″]
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อแสดงว่าการระบบจ่ายไฟฟ้าชนิดสัมผัสเหนือศีรษะ (Overhead contact system; OCS) สามารถนํามาใช้กับทางหลวงได้ (2) ลดมลภาวะทางอากาศในเขตเมืองของนครแฟรงก์เฟิร์ตจากธุรกิจขนส่งขนาดหนัก และ (3) เป็นทางเลือกสําหรับการลดต้นทุนทางธุรกิจด้วยการนําระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดมาใช้ในรถบรรทุกขนาดหนัก[su_spacer size=”20″]
กระทรวงสิ่งแวดล้อมอนุรักษ์ธรรมชาติ และความปลอดภัยพลังงานนิวเคลียร์แห่งสหพันธ์ฯ (BMUB) สนับสนุนโครงการทดลองใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าบนทางหลวง (Electrified, innovative heavy freight transport on autobahns – ELISA) โดยใช้งบประมาณประมาณ 15 ล้านยูโร สําหรับโครงการนําร่องในรัฐเฮสเซ็น รัฐชเลสวิก-โฮลชไตน์ และรัฐบาเดนาเวอร์ทเทมแบร์ก เพื่อลดการปล่อยมลพิษและสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงาน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวทางที่อียูกําหนดไว้[su_spacer size=”20″]
บริษัท ซีเมนส์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้วางแผนและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการบํารุงรักษาระบบ สําหรับ “e-Highway” โดยจะมีบริษัทขนส่ง 3 บริษัทร่วมโครงการทดลองในเส้นทางนครแฟรงก์เฟิร์ตและเมืองดาร์มชตัดท์ ทั้งนี้ บริษัท ซีเมนส์ ได้นําเสนอแนวความคิด “e-Highway” ตั้งแต่ปี 2555 ต่อมาในปี 2559 บริษัท ซีเมนส์ ร่วมกับ รัฐบาลสวีเดน และ บริษัท Scania ทดลองให้รถบรรทุกวิ่งบน e-Highway บนเส้นทาง E 16 ทางเหนือของกรุงสตอกโฮล์ม ระยะทาง 2 กิโลเมตร เป็นครั้งแรกในโลก และเมื่อปลายปี 2560 บริษัท ซีเมนส์ ร่วมกับ บริษัท Volvo ทดลองให้รถบรรทุกวิ่งบน e-Highway ระยะทาง 1 ไมล์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ฯ ด้วยเช่นกัน[su_spacer size=”20″]
ระบบ e-Highway จะช่วยลดการบริโภคพลังงานและลดมลภาวะทางอากาศได้เป็น 2 เท่า ของระบบเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน เนื่องจากเมื่อรถบรรทุกวิ่งบน e-Highway จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากสายเคเบิล เหนือหลังคารถ และใช้พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องยนต์ไฮบริดเมื่อวิ่งบนถนนปกติ[su_spacer size=”20″]
เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2561 กระทรวงคมนาคมสหพันธ์ ฯ ออกกฎกระทรวงฯ กําหนดมาตรการ สนับสนุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกอื่น โดยรถบรรทุกขนาดไม่น้อยกว่า 7.5 – 12 ตัน จะได้รับเงินสนับสนุนคันละ 12,000 ยูโร และขนาดมากกว่า 12 ตัน จะได้รับเงิน สนับสนุนคันละ 40,000 ยูโร อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการแต่ละบริษัทจะได้รับเงินสนับสนุนสูงสุดไม่เกินบริษัทละ 500,000 ยูโร โดย กระทรวงคมนาคมสหพันธ์ ฯ ตั้งงบประมาณสําหรับปี ค.ศ. 2018 ไว้ที่จํานวน 10 ล้านยูโร ทั้งนี้ เมื่อปี ค.ศ. 2016 สัดส่วนของรถบรรทุกในสหพันธ์ ฯ ร้อยละ 95 ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล ในขณะที่มีเพียง ร้อยละ 5เท่านั้น ที่ใช้พลังงานอื่น ๆ อาทิ ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานไฟฟ้า[su_spacer size=”20″]
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมสหพันธ์ ฯ ยังริเริ่มเสนอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางสําหรับ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ต้นปี ค.ศ. 2019 เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนส่งในสหพันธ์ ฯ เปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น (จากสถิติรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าที่จดทะเบียนในสหพันธ์ ฯ มีประมาณ 12,000คัน) ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนได้คันละ 5,000 ยูโรต่อปี ทั้งนี้ รัฐบาลสหพันธ์ ฯ มีแผนเพิ่มเส้นทาง ที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางเพิ่มเติมอีก 40,000 กิโลเมตร จากเดิม15,000 กิโลเมตร ทั่วประเทศ[su_spacer size=”20″]
เครือข่ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งยุโรปจัดให้สหพันธ์ ฯ อยู่อันดับที่ 7 จาก 28 ประเทศสมาชิกอียู ในด้านของความพยายามและความสําเร็จในการลดภาวะโลกร้อน เนื่องจากสหพันธ์ ฯยังไม่สามารถขจัดการผลิตพลังงานจากถ่านหินได้อย่างหมดสิ้นและยังคงมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงอยู่ ดังนั้น การ ดําเนินการของรัฐบาลสหพันธ์ฯ ครั้งนี้เป็นหนึ่งในความพยายามลดการปล่อยมลพิษและสนับสนุนการผลิตและใช้ พลังงาน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวทางที่อียูกําหนดไว้[su_spacer size=”20″]
สถานกงสุลฬหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต