รายได้ของรัฐบาลเยอรมนีจากการจัดเก็บภาษีในไตรมาสที่ 1/2565 คิดเป็นร้อยละ 18.1 (มูลค่ารวมทั้งสิ้นจำนวนกว่า 203 พันล้านยูโร) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/2564 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มดีขึ้น ทั้งนี้ รายได้จากการเก็บภาษีส่วนใหญ่มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเยอรมนี และทําให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลเยอรมนีลดลงอีก ปัจจุบันพบว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนีค่อนข้างตึงเครียด มาจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเริ่มที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ทําให้ราคาสินค้าอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนมีการบริโภคลดน้อยลง
ด้านการนำเข้าพลังงาน เยอรมนีอาจระงับการนําเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย หลังจากรัสเซียประกาศระงับการส่งออกก๊าซให้กับโปแลนด์และบัลแกเรีย เนื่องจากประเทศดังกล่าวปฏิเสธการจ่ายค่าพลังงานเป็นสกุลเงินรูเบิล อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังคงต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร เนื่องจากอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของเยอรมนีอย่างมาก ปัจจุบัน รัสเซียยังคงส่งก๊าซมายังเยอรมนีตามสัญญาที่ยังมีผลอยู่ ด้านการหาแหล่งน้ำมันทดแทน พบว่า เยอรมนีสามารถหาแหล่งน้ำมันทดแทนจากประเทศอื่นเพื่อการบริโภคในประเทศได้เพียงพอจนถึงสิ้นปี 2565 และสามารถลดการพึ่งพาการนําเข้าน้ำมันจากรัสเซียได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมเยอรมนี ได้ระงับการให้เงินอุดหนุนการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า PHEV และได้เตรียมแผนยกเลิกการให้เงินอุดหนุนการซื้อยานยนต์ดังกล่าว ภายในสิ้นปี 2565 เนื่องจากผู้ใช้ยานยนต์ส่วนใหญ่ยังนิยมใช้การขับเคลื่อนรถด้วยระบบสันดาปมากกว่าการขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ หากตลาดยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รัฐบาลเยอรมนีอาจยกเลิกเงินอุดหนุนการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า BEV ด้วยเช่นกัน โดยรัฐบาลเยอรมนีวางแผนลดการให้เงินอุดหนุนเป็น 2 ช่วง ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยปัจจุบันผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้า BEV ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลประมาณ 6,000 ยูโร/คัน
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเยอรมนีตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าให้ถึง 1 ล้านสถานี ภายในปี 2030 เนื่องจากปัจจุบันมีจํานวนสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าเพียง 50,203 สถานีเท่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่นและภาคเอกชนของเยอรมนีในการขับเคลื่อนการลงทุนสร้างสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าร่วมกับภาครัฐ โดยในช่วงกลางปี 2565 กระทรวงดิจิทัลและคมนาคมเยอรมนีจะเสนอ Master Plan เกี่ยวกับการขยายสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าต่อรัฐบาลของเยอรมนีต่อไป
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน