เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกอียูได้ตัดสินใจยกระดับเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและแปรรูปวัตถุดิบที่สำคัญ (Critical Raw Materials) ในกฎหมายว่าด้วยวัตถุดิบที่สำคัญของยุโรป (Critical Raw Materials Act) เพื่อช่วยส่งเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบที่สำคัญของยุโรปและลดการพึ่งพาจากแหล่งภายนอก โดยเห็นว่า (1) แร่สำคัญ เช่น ลิเธียม และนิกเกิล ควรมีการผลิตและสกัดภายในอียูมากขึ้นด้วยสัดส่วน 40% (2) ควรเพิ่มแร่อลูมิเนียมบอกไซต์ (bauxite) เข้าเป็นหนึ่งในรายชื่อวัตถุดิบที่สำคัญ และ (3) ควรเพิ่มสัดส่วนการนำแร่กลับมาใช้ใหม่ จากเดิม 15% เป็น 20% อย่างไรก็ดี การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอาจทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากอียูต้องพึ่งพาประเทศผู้ส่งออกสำคัญ เช่น อินโดนีเซีย ชิลี และอาร์เจนตินา
แม้ว่าคณะกรรมาธิการยุโรปจะตั้งเป้าเพิ่มการผลิตไฮโดรเจนให้ถึง 15% ของสัดส่วนพลังงานทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2050 นักลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวยังคงต้องพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนในอียู เนื่องจากความไม่แน่นอนของกฎระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง โดยมีกฎหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ฉบับ ที่จะกระทบต่อกระบวนการผลิตไฮโดรเจนในยุโรป ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ
นอกจากนี้ อียูเตรียมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมพาณิชยนาวี (FuelEU Maritime Initiative) ให้ได้ 80% ภายในปี ค.ศ. 2050 ตามนโยบาย European Green Deal โดยจะเริ่มลดปริมาณก๊าซคาร์บอน มีเทน และไนตรัสออกไซด์ อย่างค่อยเป็นค่อยไป กฎหมายดังกล่าว จะเริ่มปรับใช้กับเรือที่มีน้ำหนัก 5 พันตันขึ้นไป ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปจะทบทวนกฎหมายดังกล่าวอีกครั้งในปี ค.ศ. 2028 และจะพิจารณาปรับใช้กับเรือที่มีขนาดเล็กต่อไป
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์