วิสัยทัศน์ทางการเมืองและธุรกิจสำหรับยุทธศาสตร์ใหม่ของเดนมาร์กที่มีต่อแอฟริกา โดย
“เดนมาร์กจะดำเนินความร่วมมือแบบ ‘eye-level’ cooperation แทนที่นโยบายเดิมที่เน้นการเป็นผู้บริจาค โดยต่อไปนี้จะมุ่งเน้นไปที่การให้ความร่วมมือที่เท่าเทียมกับประเทศในแอฟริกา และดำเนินงานตามแนว pragmatic political approach และเพิ่ม physical presence ของเดนมาร์กให้มากขึ้น” รวมถึงการจัดสรรเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้แอฟริกาสนใจที่จะดำเนินความร่วมมือกับเดนมาร์ก ซึ่งแอฟริกาจะได้รับประโยชน์จากองค์ความรู้ด้าน green transition ของเดนมาร์ก ในขณะที่ตลาดแรงงานของเดนมาร์กจะได้รับผลประโยชน์จากแรงงานชาวแอฟริกาเช่นกัน
หากพิจารณาถึงความสัมพันธ์ของจีนกับแอฟริกา และชาติตะวันตกกับแอฟริกาแล้วนั้น จะพบว่าช่วงต้นศตวรรษที่ 21 จีนได้เข้ามาเป็นหนึ่งในคู่ค้าและนักลงทุนชั้นนำในทวีปแอฟริกาได้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นการเจรจากับแอฟริกาในฐานะหุ้นส่วนพันธมิตรที่จะสามารถขยายโอกาสทางธุรกิจได้ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการของชาติผู้รับ ในขณะที่ชาติตะวันตกเน้นด้านการบริจาคและการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาและมนุษยธรรม ซึ่งทำให้เดนมาร์กเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของจีนและการเสียส่วนแบ่งในตลาดแอฟริกาหากยังคงดำเนินความสัมพันธ์แบบเดิม จึงต้องการปรับเปลี่ยนเป็นการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับแอฟริกาในลักษณะเท่าเทียม ลดการชูประเด็นค่านิยม และฟังความต้องการของแอฟริกามากขึ้นตามแนวทาง pragmatic approach
จากการประชุม Dansk Industri’s Africa Conference เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 มีการหารือเกี่ยวกับแผนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านการพัฒนา การกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า และการขยายกิจการของเดนมาร์กในแอฟริกา รวมทั้งความมุ่งมั่นทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมในด้านการค้า การลงทุน การเติบโตสีเขียวและการสร้างงานในท้องถิ่น โดยในที่ประชุมมีความเห็นว่า บริษัทเดนมาร์กมีความสามารถในการสร้างความร่วมมือที่เท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน ตลอดจนเชื่อว่าจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาด้าน green transition และสร้างงานให้กับคนรุ่นหนุ่มสาวในแอฟริกาได้ ซึ่งแอฟริกาได้ให้ความสนใจในโซลูชั่นของเดนมาร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านน้ำ อาหาร พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากนี้ หากการส่งออกไปยังแอฟริกามีมูลค่าถึงระดับเฉลี่ยในยุโรปแล้ว อาจทำให้เดนมาร์กมีรายได้ประมาณ 7 พันล้านโครนเดนมาร์ก (ประมาณ 35 พันล้านบาท)
โดย เคนยา นับว่าเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาทั่วทั้งแอฟริกาตะวันออก และเป็นพันธมิตรนโยบายระหว่างประเทศที่สำคัญสำหรับเดนมาร์กและยุโรป เดนมาร์กจึงจำเป็นต้องกระชับความร่วมมือในฐานะพันธมิตรกับเคนยาและประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกา เพื่อจัดการปัญหาความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร และการย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ซึ่งในขณะเดียวกัน จีนได้สร้างทางรถไฟระหว่างเมือง Mombasa กับกรุงไนโรบี อีกทั้ง จีนยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่กับเคนยา โดยสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ‘ยุโรปควรคำนึงถึงการมองหาสิ่งที่ประเทศในแอฟริกาต้องการ โดยนำเสนอโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในฐานะพันธมิตรทั่วทั้งทวีป และต้องเจรจากับรัฐบาลในแอฟริกามากขึ้น รวมทั้งรับฟังความต้องการและข้อกังวลต่าง ๆ ของกลุ่มประเทศในแอฟริกาด้วย’
ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดนมาร์ก เดินทางเยือนเคนยา โดยเข้าพบผู้นำและผู้ว่าราชการเมือง Mombasa อีกทั้งยังมีผู้แทนจากบริษัท Maersk และเจ้าหน้าที่ท่าเรือท้องถิ่น ที่เมือง Mombasa ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาตะวันออก และ บริษัท Maersk มีสัดส่วนทางธุรกิจเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือดังกล่าว รวมถึงได้มีการประกาศเปิดตัวโครงการสันติภาพและเสถียรภาพใหม่ใน Horn of Afriva สำหรับปี 2566-2569 โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล การต่อสู้กับกลุ่มอาญากรและการยุติการอพยพย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติด้วย
อีกทั้ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก Mette Frederiksen เดินทางเยือนแอฟริกาใต้และนามิเบีย เพื่อมุ่งกระชับความสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศในด้านไฮโดรเจนสีเขียว พลังงานหมุนเวียน และ green energy transision ให้มีความใกล้ชิดกับยุโรปมากขึ้นและห่างออกจากรัสเซีย ในขณะที่แอฟริกาใต้ดำรงตำแหน่งประธานของ BRIC ตลอดจนการหารือเพื่อแก้ไขปัญหาผู้อพยพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยเป็นการดำเนินตามยุทธศาสตร์นโยบายด้านการต่างประเทศและความมั่นคงฉบับใหม่ของเดนมาร์กกับแอฟริกาที่เน้นเรื่อง “equal partnerships” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด โดยเน้นด้านพลังงานลม ซึ่ง Danish Industry ได้มุ่งเป้าไปที่แอฟริกาใต้ ที่เป็นประเทศที่มีการบริโภคพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา ภายหลังจากที่เดนมาร์กได้มีการจัดทำ Green Strategic partnership กับแอฟริกาใต้เมื่อปี 2565 และเดนมาร์กต้องการขยายความร่วมมือทางด้าน Green กับนามิเบียด้วย
✯ นับว่าเป็นกรณีศึกษาที่ไทยควรพิจารณาในการเริ่มตระหนักถึงตลาดในกลุ่มประเทศแอฟริกามากขึ้น และมองโอกาสการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับแอฟริกาในลักษณะเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ อาหาร พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ที่แอฟริกาให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนการค้าการลงทุนในธุรกิจสีเขียว และการสร้างงาน
ข้อมูล : สถานเอกอัครราทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน
เรียบเรียงโดย : ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์