เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 สำนักข่าวท้องถิ่นของจีน Shanghai Daily รายงานว่า จะมีผู้เข้าร่วมในงาน China International Import Expo (CIE) ครั้งที่ 1 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 10 พฤศจิกายน 2561 ประมาณ 300,000 คน โดยมีจํานวนมากกว่า 2,800 บริษัท จาก 130 ประเทศ รวมไปถึง 200 บริษัทแรกในกลุ่ม 500 บริษัทของ Fortune Global โดยงาน CIE ตั้งเป้าหมายที่จะจัดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นการแสดงแก่ประชาคมโลกว่า จีนจะเป็นประเทศผู้นําเข้าหลักของโลกแทนที่คําว่า “Made in China” โดยปัจจุบันจีนมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นประเทศที่นําเข้ามากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 (คิดเป็นร้อยละ 10.2 ของการนําเข้าของโลก) โดยในปี 2560 การนําเข้าของจีนมีจํานวน 1.74 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 16 จากปี 2560 ในขณะที่ การส่งออกมีจํานวน 2.21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 14 [su_spacer size=”20″]
เป้าหมายสําคัญอีกประการคือ การเข้าถึงตลาดชนชั้นกลางขนาดใหญ่ของจีน (the rise of China’s consumer class) ซึ่งจะกลายเป็นกระแสหลัก (mega trend) ของการค้าโลกในอีกสิบปีข้างหน้า โดย McKinsey คาดการณ์ว่า จํานวนชนชั้นกลางของจีนจะมีจํานวน 630 ล้านคนภายในปี 2565 (สองเท่าของจํานวนประชากรสหรัฐฯ) โดยงาน CIE นอกเหนือไปจากการแสดงสินค้าใหม่ ๆ จากทั่วโลก 5 วัน ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดแสดงสินค้าสามารถเข้าถึง ตลาด E-Commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ [su_spacer size=”20″]
โดยบริษัท BMW ก็ถือโอกาสนี้ในการเข้าร่วมนิทรรศการด้วย และประกาศที่จะร่วมทุน 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับบริษัท Brilliance China Automotive Holdings ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากที่จีนประกาศสนับสนุนการเปิดกว้างการลงทุนในสาขายานยนต์และนวัตกรรมใหม่ในระหว่างการประชุมBoao Forum ที่เกาะ ไห่หนานเมื่อเดือนเมษายน 2561 นอกจากนี้ สภาหอการค้าสหภาพยุโรปในจีนระบุร้อยละ 60 ของสมาชิกเห็นว่าปัจจุบัน สินค้าจีนมีความทัดเทียมหรือมีนวัตกรรมที่พัฒนามากกว่าของยุโรป [su_spacer size=”20″]
ทั้งนี้ งาน CIE จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจจีนให้มีความยั่งยืนมากขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านการเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก (export-led growth) ไปสู่การบริโภคภายในประเทศ (sustainable domestic – consumption) และคาดการณ์ว่ายอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของจีน (current account Surplus) ในปี 2560 ที่ร้อยละ 1.3 ของ GDP จะลดลงเหลือร้อยละ 0.1 ภายในปี 2561 สะท้อนการที่จีนเป็น “ผู้นําเข้า” ในระบบเศรษฐกิจโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจีนยังคงต้องการนําเข้าสินค้ากลุ่มนวัตกรรมเพื่อเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยี อีกทั้งยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และการตั้งเป้าหมายเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลกในปี 2578 (ค.ศ. 2035) [su_spacer size=”20″]
สถานกงสุล ณ นครเซี่ยงไฮ้