ปัจจุบัน แนวโน้มการร่วมมือกับ start-ups เพื่อยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลของธุรกิจ และดึงดูดคนรุ่นใหม่และลดต้นทุน ได้ทำให้บริษัทในฮ่องกงหลายรายเริ่มย้ายสำนักงานจากใจกลางเมืองไปใช้ co-working spaces บริเวณรอบนอกมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสความร่วมมือกับธุรกิจ start-up ในส่วนประเทศแถบเอเชียนั้น คาดว่า flexible workspaces จะคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของอสังหาริมทรัพย์ภายในปี 2573 ขณะที่ co-working spaces ของฮ่องกงเติบโตร้อยละ 29 ในระหว่างปี 2558-2559 และมี 238 แห่ง ในปัจจุบัน ทั้งที่เป็นของต่างชาติอย่าง WeWork จากนิวยอร์ค หรือของฮ่องกงเองอย่าง the Garage Society ซึ่งถือว่าฮ่องกงเริ่มช้า เนื่องจากค่านิยมทางวัฒนธรรมและการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นไปอบ่างเชื่องช้า[su_spacer size=”20″]
ผู้บริหารบางรายมองว่า co-working spaces จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือในทีม เพิ่มการสื่อสารภายในระหว่างพนักงาน และช่วยเปิดโลกทัศน์มาขึ้น นอกจากนี้บริษัทข้ามชาติหลายรายที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องดิจิทัล ก็พยายามใช้ co-working spaces มากขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับธุรกิจ start-up โดยสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในธุรกิจตน รวมทั้งอาจเลือก start-ups เหล่านั้นมาเป็น suppliers โดยในบาง co-working spaces บริษัทสามาถเสนอบริการต่าง ๆ เช่น ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ภาษี และบัญชี แก่ start-ups ได้อีกด้วย[su_spacer size=”20″]
ในปัจจุบัน เจ้าของพื้นที่ในฮ่องกงก็เริ่มยอมรับการมี co-working spaces และ start-ups ในพื้นที่อาคารตนมากขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการ co-working spaces ก็สามารถขยายตลาดให้บริษัทขนาดใหญ่มาอยู่ร่วมกับ start-ups ได้มากขึ้นเช่นกัน[su_spacer size=”20″]
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง