จีนในมณฑลซานตงนําเข้ามันสําปะหลังจากประเทศไทยส่วนใหญ่เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสําคัญในการผลิต แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มและพลังงานทดแทนโดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การนําเข้ามันสําปะหลังจากประเทศไทยเป็นไปใน รูปแบบการขนส่งแบบเทกองซึ่งเวลาขนถ่ายสินค้า เกิดฝุ่นละอองทําลายสิ่งแวดล้อม
.
ในทุกๆปีจีนนําเข้ามันสําปะหลังจากประเทศไทยประมาณ 4 ล้านตันต่อปีซึ่งมีปริมาณค่อนข้างมาก โดย ท่าเรือหลักๆของจีนที่นําเข้ามันสําปะหลัง คือ ท่าเรือชื่อจ้าว มณฑลซานตงและท่าเรือก้านหยูภายใต้ท่าเรือเหลียนหยุนก่างมณฑลเจียงซูโดยปริมาณการนําเข้าผ่านท่าเรือชื่อจ้าวประมาณ 1.6 – 2 ล้านตันต่อปี การนําเข้ามันสําปะหลังของท่าเรือชื่อจ้าว คิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของสินค้ามันสําปะหลังที่เข้าจีนทั้งหมด
.
เมื่อปี 2563 รัฐบาลจีนได้ออกนโยบายบังคับใช้มาตรการระบบโลจิสติกส์สีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนําเข้าสินค้ามันสําปะหลังของจีนที่ท่าเรือเมื่อขนถ่ายสินค้าแบบเทกองจะมีปริมาณฝุ่นเป็นจํานวนมาก รัฐบาลรื่อจ้าวจึงมีความเข้มงวดมากขึ้น โดยทางการจีน ได้กําหนดให้มีระบบการขนส่งในรูปแบบตู้คอนเทนเนอร์แทนการเทกอง ซึ่งการขนส่งในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
.
หากประเทศไทยปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบขนส่งแบบตู้คอนเทนเนอร์ก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมีการนําเข้ามันสําปะหลังจากไทยผ่านระบบขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ โดยในช่วงเดือน ก.ค. มีการขนส่งในระบบ ตู้คอนเทนเนอร์แล้วประมาณ 2 – 3 พันตัน หรือเท่ากับ 100 กว่าตู้คอนเทนเนอร์แต่ยังส่งออกได้ไม่มากพอเนื่องจากปัญหาทางด้านต้นทุนซึ่งผู้ประกอบการขอเพิ่มค่าสินค้าเนื่องจากระบบการขนส่งแบบตู้คอนเทนเนอร์มีค่าใช้จ่าย 10 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หากรวมค่าสินค้า ค่าขนส่ง และอื่น ๆ ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 160 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
.
แม้ว่าจีนจะสามารถผลิตมันสําปะหลังได้เอง แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค จึง ทําให้จีนต้องมีการนําเข้ามันสําปะหลังจากต่างประเทศเป็นจํานวนมาก เช่น ไทย เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งเป็นที่ทราบ กันดีว่า จีนเป็นประเทศนําเข้ามันสําปะหลังรายใหญ่ที่สุดของไทย ปัจจุบันจีนนําเข้ามันสําปะหลังจากเวียดนามเป็น อันดับ 2 รองจากไทย โดยของเวียดนามส่วนใหญ่ส่งออกโดยใช้ตู้คอนเทนเนอร์แล้วเกือบ 90% แต่ยังมีปริมาณการนําเข้าน้อย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย จีนนําเข้าจากไทยเกือบ 80 – 90% เนื่องจากมันสําปะหลังของไทยมีคุณภาพที่ดีกว่า
.
อย่างไรก็ตาม นโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายที่ ปธน. สีจิ้นผิง ให้ความสําคัญ เป็นอย่างมากอาจส่งผลให้จีนมีแนวโน้มนําเข้ามันสําปะหลังจากเวียดนามเพิ่มขึ้นและฝ่ายผู้ประกอบการจีนกำลังเร่งจัดหาวัตถุดิบอื่นๆ ทดแทนมันสําปะหลังจากไทย ซึ่งปัจจุบันใช้ข้าวโพดทดแทนอยู่แต่ยังมีปริมาณไม่เพียงพอ
.
เนื่องจากรัฐบาลจีนมีนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมเข้มงวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทําให้ในอนาคตอาจมีการ กดดันเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการนําเข้ามันสําปะหลัง เพราะเวลาขนถ่ายสินค้าเกิดฝุ่นทําลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นอุปสรรค สําคัญอย่างยิ่งต่อการส่งออกมันสําปะหลังของไทย รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดฝุ่นที่ท่าเรือระหว่างการขนถ่าย อย่างไรก็ตาม มันสําปะหลังเป็นสินค้าที่ก่อให้เกิดฝุ่นสูงสุด
.
เเม้ว่าการเปลี่ยนระบบขนส่งเป็นตู้คอนเทนเนอร์แทนแบบเทกองอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยในด้านการขนส่งมันสำปะหลังเเต่ไทยควรใช้โอกาสนี้ในการปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งให้เป็นมิตรต่อสิ่งเเวดล้อมมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบรับกับเทรนด์ธุรกิจโลกในอนาคตที่มุ่งเน้นไปที่การรักษาสภาพเเวดล้อมเเละลดมลภาวะอีกทั้งเป็นการคงความได้เปรียบเเละเปิดโอกาสให้มันสำปะหลังไทยเป็นสินค้าที่น่าดึงดูดน่าสนใจในตลาดมันสำปะหลังโลกต่อไป รัฐบาลอาจให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนในการออกเงินทุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งเพื่อเพิ่มเเรงจูงใจให้ผู้ประกอบการไทยหันมาใช้ตู้คอนเทนเนอร์ในการลำเลียงมันสำปะหลังมากยิ่งขึ้นเเละการท่าเรือไทยอาจร่วมมือกับ China Harbour (CHEC) ในการนำเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนการขนส่งให้ปราศจากฝุ่นมาใช้ในโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังต่อไปในอนาคต
.
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง