เมื่อโลกเราต้องการ “ทางเลือกใหม่” ทั้งในด้านพลังงานและทรัพยากร ทําให้หลายประเทศตื่นตัวและพยายามพัฒนานวัตกรรมมาประยุกต์ดัดแปลงกับเศษวัสดุเหลือใช้เพื่อเพิ่มมูลค่า ลดขยะ และลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดย “เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร” ที่เคยถูกมองว่าเป็นของไร้ประโยชน์จากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมการเกษตร มาในวันนี้ เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหลายชนิดได้กลายเป็นสิ่งของที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจและสังคมได้ไม่น้อย
.
ปัจจุบัน ชานอ้อยที่เหลือจากกระบวนการหีบอ้อยในโรงงานน้ําตาลถูกนํามาใช้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการนํากากอ้อยทําเป็นส่วนผสมของปุ๋ยหมัก ทําเชื้อเพลิงทั้งในรูปแบบกากปกติ อัดเม็ด และอัดก้อน นําไปผลิตเอทานอล นําไปผลิตเป็นกระดานไม้อัด และนําไปผลิตเยื่อกระดาษที่ใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ให้ความสําคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
.
กว่างซีจ้วง พื้นที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นฐานการผลิตอ้อยและน้ําตาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ผลผลิตคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของทั้งประเทศ เเละชานอ้อยเป็นวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีอยู่เป็นจํานวนมาก เมื่อไม่นานมานี้ ทีมนักวิจัยของ Guangxi Transportation Science and Technology Group Co.,Ltd. (广西交科集团) ประสบความสําเร็จในการพัฒนานวัตกรรมเส้นใยชานอ้อย (bagasse fiber) สําหรับใช้เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นผิวจราจรเป็นที่แรกของประเทศจีน
.
โดยพื้นผิวจราจรที่มีส่วนผสมของเส้นใยชานอ้อยมีคุณสมบัติเทียบเคียงกับแอสฟัลต์ที่ใช้วัสดุผสมไฟเบอร์เซลลูโลส และมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความทนทานในการใช้งานของพื้นผิวถนน ความทนทานต่อสภาพอากาศ และความต้านทานต่อการล้า (fatigue resistance) ได้ดี
.
นับเป็นมิติใหม่ของการใช้ประโยชน์จากชานอ้อยที่มีความหลากหลาย เป็นการประยุกต์ใช้จุดแข็งของท้องถิ่นจากการเป็นฐานการผลิตอ้อยและน้ําตาลเข้ากับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชานอ้อยและเศรษฐกิจภาคการเกษตร ช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไร่อ้อย และช่วยลดการพึ่งพาการใช้วัสดุผสมไฟเบอร์เซลลูโลสที่ใช้ผสมกับแอสฟัลต์ได้ ที่สําคัญ เป็นการบุกเบิกหนทางใหม่ในการใช้ประโยชน์เชิงบูรณาการจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และมุ่งไปสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)”
.
อาจกล่าวได้ว่าชานอ้อยมีประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้านการเกษตร พลังงาน กระดาษ และวัสดุก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ดัดแปลงของผู้ใช้ ทั้งนี้ เมื่อมาพิจารณาในบริบทของประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลก และมีโครงสร้างอุตสาหกรรมคล้ายคลึงกับเขตกว่างซีจ้วง ประกอบกับกับทุกภาคส่วนอยู่ระหว่างการผลักดันการใช้นโยบาย BCG เพื่อมุ่งพลิกโฉมการพัฒนาประเทศไปสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน นี่จึงเป็นโอกาสที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยจะศึกษาแนวทางการวิจัย หรือพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับกว่างซีในการใช้ประโยชน์จากชานอ้อย เพื่อนำพาอุตสาหกรรมไปสู่ “การเติบโตสีเขียว” (Green growth) และยังนับว่าเป็นการ “เปลี่ยนขยะเป็นเงิน” เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้แก่ภาคเกษตรกรรมของไทยได้อีกทาง
.
สถานกลสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง